โครงการแจกเงินหมื่นบาทในกลุ่มอายุ 16-20 ปี กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่า เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง หรือเป็นเพียงยุทธศาสตร์สะสมแต้มทางการเมืองโดยมุ่งเป้าไปที่ “นิวโหวตเตอร์” สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าในปี 2570 หรือไม่?
เพราะนโยบายนี้มีบทพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามราคาคุยของรัฐบาล ก่อนหน้านี้ธนาคารโลก (World Bank) ได้ทำการศึกษาพบว่า การใช้มาตรการแจกเงินหมื่นช่วยกระตุ้นจีดีพีได้แค่ 0.3 % แต่มีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 0.8% ของ GDP
ถ้าอ้างอิงจากตัวเลขนี้ โครงการเฟสสามที่ใช้ 27,000 ล้านบาท อาจสร้างผลตอบแทนกลับมาในระบบเศรษฐกิจเพียง 10,125 ล้านบาท ทำให้เกิดภาระทางการคลังและอาจต้องพึ่งพาการกู้เงินเพิ่ม
นี่จึงทำให้เกิดคำถามดังขึ้นเรื่อย ๆ ว่า แจกเงินหมื่นเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมืองที่หวังซื้อใจคนรุ่นใหม่โดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาวหรือไม่?
แจกเงินหมื่น: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือประชานิยมเงินผัน?
รัฐบาลให้เหตุผลว่านโยบาย “แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท” เป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งเป้าหมายไปที่การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านการใช้จ่ายในร้านค้าท้องถิ่นและแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
ข้อดีที่รัฐบาลนำเสนอ
- กระตุ้นการบริโภค – เมื่อประชาชนได้รับเงิน พวกเขาจะนำไปใช้จ่าย ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
- ช่วยธุรกิจรายย่อย – การใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ทำให้ร้านค้าท้องถิ่นได้รับประโยชน์
- ผลคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) – เงินที่ถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสามารถช่วยให้ GDP เติบโตได้
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากแสดงความกังวลเกี่ยวกับ ความยั่งยืนของนโยบายนี้ โดยมีข้อกังขาว่าผลกระทบที่ได้อาจเป็นเพียง “ภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ” ที่ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาในระยะยาว และมีบทพิสูจน์แล้วว่ากระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้จริงตามที่คาดการณ์ไว้ แต่กลับสร้างภาระหนี้ระยะยาวให้กับประเทศ เรียกว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” และที่ “ได้” อาจเป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะยาว
เพื่อไทย กับเกมการเมืองที่เสี่ยง
แม้ว่าพรรคเพื่อไทยคาดหวังว่านโยบายแจกเงินนี้จะช่วยกุมใจฐานเสียงเดิมและดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่ แต่บทเรียนจากการเลือกตั้งปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
- คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับอุดมการณ์มากกว่านโยบายแจกเงิน
- ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างถล่มทลายจากคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะไม่ได้เสนอ “นโยบายแจกเงิน” ที่ชัดเจน
- แสดงให้เห็นว่า ประชานิยมเงินสดอาจไม่ได้เป็นปัจจัยตัดสินใจหลักของคนรุ่นใหม่ อีกต่อไป
- นโยบายแจกเงินอาจเป็นดาบสองคม
- การปรับเปลี่ยนโครงการมาแล้วหลายครั้ง อาจทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับการวางแผนนโยบายของรัฐบาล และสูญเสียความน่าเชื่อถือจากประชาชน
- ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจมองว่านี่เป็นเพียง “สัญญาหาเสียงที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง”
- ฐานเสียง 16-20 ปี: กลุ่มเป้าหมายใหม่ หรือแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ?
- กลุ่มอายุ 16-20 ปี ที่ได้รับเงินครั้งนี้ จะมีสิทธิเลือกตั้งในปี 2570 แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า นโยบายแจกเงินจะเปลี่ยนแนวโน้มการเลือกตั้งของพวกเขา
- ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า การแจกเงินอาจทำให้เกิดการตอบสนองในทางตรงกันข้าม โดยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสและความรับผิดชอบทางการเงินของรัฐบาล
ประชานิยมเงินสด: วังวนที่ประเทศไทยต้องก้าวข้าม?
นโยบายแจกเงินไม่ใช่เรื่องใหม่ในการเมืองไทย คำถามสำคัญคือประเทศไทยจะเดินหน้าด้วยแนวคิดประชานิยมแบบแจกเงินต่อไปเรื่อยๆ หรือควรลงทุนในโครงการที่สร้างผลตอบแทนระยะยาวมากกว่า?
นโยบายที่เน้น การศึกษา, การสร้างงาน, และโครงสร้างพื้นฐาน อาจให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนกว่าการแจกเงินครั้งเดียวหรือไม่? ประชาชนควรเรียกร้อง นโยบายที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว มากกว่าการแจกเงินที่อาจสร้างปัญหาหนี้สินในอนาคตหรือเปล่า?
การแจกเงินหมื่นบาทจะเป็น “ตั๋วผ่าน” สู่ชัยชนะทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย หรือจะกลายเป็น “กับดักประชานิยม” ที่ทำให้พรรคต้องเผชิญแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจและการเมืองมากขึ้น?
สุดท้ายแล้ว คำตอบไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมืองเพียงฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเลือกให้คุณค่ากับนโยบายแบบใดในการเลือกตั้งครั้งหน้า