13 มีนาคม 2568 – รองศาสตราจารย์ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกบทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้นในปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยเตือนว่าหากการอภิปรายต้องล้มไปเพียงเพราะการระบุชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตนักโทษในญัตติ จะส่งผลเสียต่อทุกฝ่ายและกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบตรวจสอบรัฐบาลในสภา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ: กลไกตรวจสอบรัฐบาลที่สำคัญ
การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่สามารถกระทำได้เพียงปีละครั้ง เพื่อเปิดเผยข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การอภิปรายครั้งนี้กลับมีแนวโน้มว่าจะล้มเหลว เนื่องจากข้อโต้แย้งของฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ที่มองว่าการระบุชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร ขัดต่อข้อบังคับการประชุม และไม่เป็นธรรมต่อนายทักษิณที่ไม่สามารถชี้แจงได้
รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ชี้ว่า หากเกิดเหตุการณ์นี้จริงจะทำให้ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบ ดังนี้
- ฝ่ายรัฐบาล อาจถูกมองว่ามีเจตนาปกป้อง นายทักษิณ ชินวัตร และไม่ได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา
- ประธานสภาผู้แทนราษฎร อาจถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทเอื้อประโยชน์ให้พรรคเพื่อไทย และเลือกปฏิบัติในการพิจารณาญัตติ
- ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชน อาจถูกตั้งคำถามว่ามีข้อตกลงลับกับฝ่ายรัฐบาล หรือจงใจใช้ชื่อ นายทักษิณ เป็นประเด็นให้การอภิปรายล้มไป
- ประชาชน อาจหมดศรัทธาต่อการทำงานของรัฐสภา และหันไปพึ่งข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่แน่นอนทางการเมือง
ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย: รัฐธรรมนูญไม่ห้ามอภิปรายบุคคลภายนอก
ในบทความของ รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้อ้างอิง รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 124 ซึ่งระบุว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถแสดงความคิดเห็นและอภิปรายข้อเท็จจริงได้ โดยได้รับเอกสิทธิ์ในที่ประชุม เว้นแต่เป็นกรณีที่มีการถ่ายทอดสดและมีเนื้อหาที่อาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาหรือหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
นอกจากนี้ ข้อบังคับการประชุมสภายังไม่ได้ห้ามการกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด เพียงแต่ต้องอยู่ในกรอบของความจำเป็นในการอภิปราย ซึ่งหมายความว่า การกล่าวถึง นายทักษิณ ชินวัตร ในการตรวจสอบประเด็นการครอบงำรัฐบาลไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ผู้กล่าวต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง
ถ้าตรวจดูข้อห้ามที่ปรากฏในข้อบังคับการประชุมละธรรมเนียมปฏิบัติในการอภิปรายคือ” ห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ หรือออกชื่อสมาชิกหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น “เท่านั้น การอ้างของนายกฯ แพทองธารอย่างเลื่อนลอยว่า การระบุชื่อนายทักษิณซึ่งเป็นบุคคลภายนอกว่า” ผิดกฎหมาย “จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นจริง และการอ้างธรรมเนียมปฏิบัติของหลายคนในพรรคเพื่อไทยว่าไม่เคยมีการระบุชื่อบุคคลภายนอกมาก่อน สะท้อนความต้องการปกป้องนายทักษิณผู้เป็นบิดา และผู้บังเกิดผลประโยชน์ของพรรคเพื่อไทย
เสนอแนวทาง: ปรับถ้อยคำเพื่อให้การอภิปรายเดินหน้า
เพื่อให้การตรวจสอบรัฐบาลดำเนินต่อไป รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เสนอให้ฝ่ายค้านปรับถ้อยคำในญัตติ โดยอาจใช้ถ้อยคำที่ไม่ได้ระบุชื่อโดยตรง เช่น
“นอกจากนี้ยังสมัครใจยินยอมให้ (ชายไทยไม่ทราบชื่อ) ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นการกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดโดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง (ที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ) ”
แนวทางนี้จะช่วยให้การอภิปรายยังคงสามารถตรวจสอบประเด็นสำคัญได้โดยไม่ติดข้อจำกัดทางกฎหมายหรือข้อบังคับของสภา
เรียกร้องให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ
รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ย้ำว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรควรทำหน้าที่เป็นกลาง และไม่ควรใช้ดุลพินิจที่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนทำให้ญัตติถูกตีตก ขณะเดียวกันฝ่ายค้านก็ควรยืดหยุ่นในการปรับญัตติ เพื่อให้การตรวจสอบรัฐบาลสามารถดำเนินต่อไปได้
“ประชาชนก็จะเห็นใจและเข้าใจว่า พรรคฝ่ายค้านเป็นพรรคการเมืองที่นึกถึงประโยชน์ของสังคมมากกว่าหน้าตาของพรรคการเมือง”
สุดท้ายแล้ว การตรวจสอบรัฐบาลเป็นหน้าที่ของรัฐสภา หากกลไกนี้ถูกขัดขวาง ประชาชนอาจต้องหันไปพึ่งภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน รวมทั้งกระจายในสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งจะทำให้สถานการณ์การเมืองยิ่งตึงเครียดมากขึ้น
“อภิปรายไม่ไว้วางใจต้องไม่ล้มต้มคนดู” – รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง