การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงและผลักดันมาตลอดตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ โดยเฉพาะเป้าหมายการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่กระบวนการจริง การขับเคลื่อนของเพื่อไทยกลับถูกตั้งคำถามถึงความจริงจังและความสามารถในการนำพากระบวนการนี้ไปจนสำเร็จ
ท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมือง พรรคประชาชนเป็นหนึ่งในพรรคที่เดินหน้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่กลับต้องเผชิญกับกำแพงอุปสรรคที่ซับซ้อน โดยมีพรรคภูมิใจไทยและวุฒิสภาเป็นตัวแปรสำคัญ
กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคประชาชนพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ ต้องเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย จนในที่สุด รัฐสภาลงมติ 303 ต่อ 151 เสียง เห็นชอบให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับการทำประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งความพ่ายแพ้ของพรรคประชาชน เพราะหมายความว่า กระบวนการไม่ได้เดินไปข้างหน้าในทันที แต่ต้องรอการชี้ขาดจากศาลรัฐธรรมนูญก่อน
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง หรือเป็นเพียงทางออกที่ทำให้เพื่อไทยสามารถหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากประชาชนได้ชั่วคราว?
ย้อนดูเบื้องหลังรัฐสภาล่มสองครั้ง ก่อนมติผ่านฉลุย
ก่อนที่เรื่องนี้จะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ การเสนอให้ศาลพิจารณาประเด็นนี้เคยเผชิญอุปสรรคสำคัญมาแล้ว จนรัฐสภาล่มถึงสองครั้ง เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ทำให้กระบวนการต้องหยุดชะงัก
เมื่อเพื่อไทยถูกภูมิใจไทยหักในสภาฯ ด้วยการวอล์กเอาต์จากการประชุม ทำให้เดินต่อส่งศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ตามแผน เกมนอกสภาฯ ก็เริ่มต้นขึ้น
หนึ่งในประเด็นร้อนคือ กรณีสนามกอล์ฟของครอบครัว อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ตั้งอยู่บนที่ดิน ส.ป.ก. ซึ่งกลายเป็นข้อพิพาททางกฎหมาย ซัดกันหนักโดยมี ธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรมว.เกษตรฯ เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ขณะเดียวกัน ก็มีการใช้ DSI เข้าไปสอบสวนกรณีการฮั้วกันของ ส.ว. ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อพรรคภูมิใจไทย แม้จะมีการยืนยันเสียงแข็งว่า DSI ทำตามคำร้องทุกข์กล่าวโทษของผู้สมัคร สว. แต่ก็หนีไม่พ้นข้อครหาตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย
ต่อมาไม่นาน ภาพการพบกันระหว่าง เนวิน ชิดชอบ อนุทิน ชาญวีรกูล และ ทักษิณ ชินวัตร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าตามมาด้วยกระแสข่าวลือว่า “เขาดีลกันจบแล้ว” และไม่นานหลังจากนั้น คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติ รับพิจารณาเฉพาะคดีฟอกเงิน แต่ไม่รับพิจารณาคดีเกี่ยวกับฮั้ว ส.ว. หรืออั้งยี่ซ่องโจร
ในเวลาเดียวกัน ประเด็นสนามกอล์ฟของอนุทินก็ค่อย ๆ เงียบหายไป และเมื่อกลับเข้าสู่การประชุมรัฐสภาอีกครั้ง ภูมิใจไทยที่เคยวอล์กเอาต์ กลับเข้าห้องประชุม และร่วมโหวต คราวนี้องค์ประชุมครบ มติผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
นี่จึงนำไปสู่ข้อสงสัยที่ว่า “ดีลบ้านจันทร์ส่องหล้า” ได้สะท้อนผลลัพธ์มาถึงการเมืองในสภาหรือไม่?
เกมเพื่อไทย—โยนศาล รธน. เพื่อถอย?
การที่มติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย อาจสะท้อนถึงกลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทยในการถอยอย่างมีชั้นเชิง แทนที่จะเดินหน้าผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ การปล่อยให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด อาจเป็นแผนที่ทำให้เพื่อไทยสามารถปัดความรับผิดชอบได้หากไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ กระบวนการในรัฐสภาก็ต้องชะลอไปก่อนจนกว่าจะทำประชามติและได้ผลลัพธ์ว่า เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย การร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องพับไปอย่างถาวร ในทางกลับกันถ้าประชาชนไฟเขียว รัฐสภาก็กลับมาเริ่มต้นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้มี สสร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
ในทางกลับกัน หากศาลวินิจฉัยว่า ไม่ต้องทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็เดินหน้ากันต่อในรัฐสภา พรรคเพื่อไทยก็อ้างได้ว่า ทำทุกอย่างเพื่อความรอบคอบ
แต่แม้ว่าศาลจะเปิดทาง กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะยังต้องเผชิญกับ ด่านสุดท้ายคือวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพิจารณาเรื่องนี้ และอาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พรรคประชาชน—หมากบนกระดานแก้ รธน.
แม้ว่าพรรคประชาชนจะเป็นผู้เดินเกมในการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบไม่หยุด แต่ในความเป็นจริง ตัวแปรที่มีอำนาจตัดสินใจยังคงเป็นพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย และวุฒิสภา
การที่พรรคประชาชนพยายามเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง แต่ต้องเผชิญกับกำแพงทางการเมืองและอำนาจต่อรองของพรรคอื่น ๆ ทำให้ในที่สุด พรรคประชาชนอาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมนี้ มากกว่าผู้ที่สามารถกำหนดทิศทางของการเปลี่ยนแปลงได้
คำถามสำคัญที่ยังต้องติดตามต่อคือ เกมนี้เพื่อไทยวางหมากเพื่อชนะจริง หรือเป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อรักษาสมดุลของอำนาจโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย?
และยังมีคำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ ประชาชนได้อะไรจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันแน่?