การที่วุฒิสภา (ส.ว.) ลงมติ ไม่ให้ความเห็นชอบ ศาสตราจารย์ ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี และ ชาตรี อรรจนานันท์ ให้ดำรงตำแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อาจไม่ใช่แค่เรื่องของกระบวนการพิจารณาคุณสมบัติหรือความเหมาะสมเพียงอย่างเดียว แต่อาจสะท้อนให้เห็นถึง เกมอำนาจ ที่กำลังเริ่มขึ้นระหว่าง สองขั้วอำนาจหลัก ที่ยังคงกำหนดทิศทางประเทศ
ผลโหวตที่ไม่ใช่แค่ “ความไม่เห็นชอบ”
แม้จะมี ส.ว. จำนวนมากออกมาอภิปราย สนับสนุน ทั้งสองคน โดยยกย่องทั้งความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เหมาะสม แต่สุดท้ายกลับพบว่า มติที่ออกมาแตกต่างจากเสียงในห้องอภิปรายอย่างชัดเจน
- สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
- เห็นชอบ: 43 เสียง
- ไม่เห็นชอบ: 136 เสียง
- งดออกเสียง: 7 เสียง
- ไม่ลงคะแนน: 1 เสียง
- ชาตรี อรรจนานันท์
- เห็นชอบ: 47 เสียง
- ไม่เห็นชอบ: 115 เสียง
- งดออกเสียง: 22 เสียง
- ไม่ลงคะแนน: 3 เสียง
คำถามสำคัญคือ ทำไมคนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างถูกต้อง จึงไม่ได้รับเสียงสนับสนุนมากพอ?
เกมอำนาจระหว่าง “แดง” และ “น้ำเงิน” ที่ซ่อนอยู่
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในองค์กรอิสระที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างอำนาจของประเทศ เพราะเป็นศาลที่สามารถ ชี้ขาดคดีความทางการเมือง กำหนดชะตานักการเมือง และพรรคการเมือง ซึ่งทั้งพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยต่างก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
พรรคเพื่อไทย มีนายกฯ 3 คน หลุดจากตำแหน่ง เพราะพฤติกรรมผิดกฎหมาย จนถูกศาลฯ ชี้ขาดให้พ้นนายกฯ ประกอบด้วย สมัคร สุนทรเวช รับเงินเดือนจากเอกชนในรายการ “ชิมไปบ่นไป” ,ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี เอื้อเครือญาติ พล.ต.อ. เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ เป็น ผบ.ตร. และล่าสุด เศรษฐา ทวีสิน ผิดจริยธรรมร้ายแรงปมตั้ง พิชิต ชื่นบานเป็นรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เป็นบุคคลที่เคยถูกคุมขังจากการละเมิดอำนาจศาลเป็นเวลา 6 เดือน กรณีถุงขนมสองล้าน
และในมุมกลับกัน “ทักษิณ ชินวัตร” ก็เคยได้ประโยชน์จากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อครั้งซุกหุ้นภาคแรก ที่ทำให้เขาพ้นพงหนามครองอำนาจยาวนานเกือบห้าปี
นี่จึงเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทย ไม่น่าจะอยากพลาดโอกาสสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะกำหนดบุคคลที่จะเข้าไปทำหน้าที่สำคัญนี้
ส่วนพรรคภูมิใจไทย แกนนำคนสำคัญอย่าง “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ก็ถูกชี้ขาดให้พ้นตำแหน่งรมว.คมนาคม เนื่องจากซุกหุ้น “บุรีเจริญ” และยังอยู่ระหว่างถูก ป.ป.ช.สอบต่อว่าซุกหุ้นยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จด้วยหรือไม่?
ดังนั้น การแต่งตั้งตุลาการใหม่ จึงไม่ใช่แค่การเลือกคนที่เหมาะสมทางแต่คือ อาจถูกมองว่าเป็นการเลือกฝ่ายที่จะคุมเกมกฎหมายในอนาคต
ฝ่าย “แดง” (เพื่อไทย)
เชื่อกันว่าการเสนอชื่อ สิริพรรณ และ ชาตรี เป็นส่วนหนึ่งของเกมอำนาจที่ต้องการสร้าง ดุลอำนาจใหม่ ในศาลรัฐธรรมนูญ หากทั้งสองได้รับตำแหน่ง อาจช่วยลดอิทธิพลของตุลาการที่มีแนวโน้มสนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยม แต่ก็อาจไม่ใช่คนที่พรรคเพื่อไทยต้องการก็ได้
ฝ่าย “น้ำเงิน” (ภูมิใจไทย)
ปัจจุบัน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ยังถูกครหาว่าตั้งโดยสว.ที่ คสช.เป็นผู้คัดเลือก การปฏิเสธรายชื่อใหม่ อาจเป็นการ รักษาสัดส่วนอำนาจของฝ่ายตนเอง และ ป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจในศาล
การตีตกครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณว่า “น้ำเงิน” ยังคงครองความได้เปรียบ และไม่ต้องการให้ “แดง” เข้าแทรกแซงอำนาจในศาลรัฐธรรมนูญ หรือ อาจเป็นเพราะสองฝ่ายตกลงที่จะแชร์อำนาจร่วมกัน เพื่อให้ได้คนที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับ แลกกับประเด็นที่ สว.กำลังตกที่นั่งลำบากเรื่อง “ฮั้ว?”
นี่ยังเป็นคำถามที่รอการพิสูจน์ ซึ่งต้องดูรายชื่อใหม่ที่จะถูกเสนอขึ้นมาหลังจากนี้ด้วย
ทำไม ส.ว. จึงกลายเป็น “ของมีค่า” ในเกมนี้?
การโหวตเลือก ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงหนึ่งในหลายกระบวนการที่ ส.ว. ยังมีอำนาจในการแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) , คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) , และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
อำนาจเหล่านี้ทำให้ ส.ว. กลายเป็น “สินทรัพย์ทางการเมือง” ที่มีค่า และถูกช่วงชิงจากกลุ่มอำนาจต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ค่าเหล่านี้จะหมดลงภายในปีนี้ เนื่องจากกระบวนการเลือกกรรมการองค์กรอิสระจะเสร็จสิ้นในปี 2568 หลังจากนั้น ส.ว. จะเริ่มมีความสำคัญทางการเมืองน้อยลง
ส.ว. เองก็กำลังเผชิญ “ความไม่แน่นอน” จากกรณีฮั้วโหวต
แม้ ส.ว. จะดูเป็นตัวแปรสำคัญในขณะนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาเองจะมั่นคงในอำนาจของตัวเอง เพราะกำลังถูกตรวจสอบทั้งเรื่อง” ฮั้ว “ที่อยู่ในมือ กกต.และ” ฟอกเงิน “ที่ DSI ตั้งคณะทำงานสอบสวนแล้ว อีกทั้งยังมีประเด็นที่ ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้การเลือกสว.เป็นโมฆะคาอยู่ด้วย
สัญญาณอะไรที่ต้องจับตาต่อไป?
กระบวนการคัดเลือกตุลาการใหม่ – ใครจะถูกเสนอชื่ออีก? เมื่อสองคนแรกถูกตีตก จะต้องมีการ เสนอชื่อบุคคลใหม่เข้าสู่กระบวนการสรรหา คำถามคือ ใครจะเป็นตัวเลือกใหม่? และจะเป็นคนของฝ่ายไหน?
เชื่อได้ว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะต้องวางแผนรับมือกับกระบวนการคัดเลือกตุลาการชุดใหม่ ส่วนภูมิใจไทยก็คงไม่ทิ้งอำนาจที่กุมสภาสูงในมือไปง่าย ๆ สุดท้ายเกมอำนาจนี้จะรักษาสมดุลกันได้แค่ไหน การเมืองจะเข้าไปมีอิทธิพลต่อศาลรัฐธรรมนูญในอนาคตอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องจับตา
เกมอำนาจที่ประชาชนไม่ด้ประโยชน์ แต่อาจเสียหายหนัก
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นี่คือเกมการเมืองที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์เลย ในขณะที่ การช่วงชิงอำนาจในองค์กรอิสระดำเนินไป ประชาชนอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรุนแรงหาก องค์กรที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ นักการเมือง และ พรรคการเมือง อย่างศาลรัฐธรรมนูญ ถูกครอบงำจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระ
หากศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองแทนที่จะเป็นองค์กรตรวจสอบอำนาจอย่างแท้จริง ผลกระทบที่ตามมาอาจเป็นความล่มสลายของหลักนิติธรรม และความเสื่อมถอยของประชาธิปไตยในประเทศไทย
การสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งต่อไป อาจเป็นตัวชี้วัดว่า ประเทศไทยยังมีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระอยู่หรือไม่?