ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้เปิดปฏิบัติการ “กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า” ครั้งใหญ่ ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่จับกุมและปราบปรามการขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวด ทั่วกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่ถือว่าเข้มข้นที่สุดครั้งหนึ่ง
แต่สิ่งที่น่าขบคิดคือ ในขณะที่ตำรวจเร่งกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าในหลายพื้นที่ ภาพของนักการเมืองหลายคนยังถูกจับได้ว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าในรัฐสภาอย่างเปิดเผย และดูเหมือนจะไม่มีมาตรการควบคุมในสถานที่แห่งนี้
นี่คือ “สองมาตรฐาน” ของนโยบาย หรือเป็นเพียงการสร้างภาพให้ดูว่า รัฐบาลกำลังทำอะไรบางอย่าง?
“มนุษย์ควัน” และเกมล็อบบี้ในสภา
ในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่ม “มนุษย์ควัน” ซึ่งเป็นเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้ส่งหนังสือถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ เพื่อเรียกร้องให้ ยกเลิกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า โดยอ้างว่าเป็นแนวทาง “ลดอันตรายจากบุหรี่ปกติ”
กลุ่มนี้เคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบและทำงานร่วมกับเครือข่ายต่างประเทศ เช่น Ends Cigarette Smoking Thailand (ECST) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ Philip Morris International (PMI) บริษัทยาสูบข้ามชาติที่ผลักดันบุหรี่ไฟฟ้าในหลายประเทศ
เอกสารที่กลุ่มมนุษย์ควันส่งถึงสภาฯ ได้รับการบรรจุในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษากฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ นี่เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึง แรงผลักดันจากกลุ่มทุนและกลุ่มล็อบบี้ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
ท่าทีเปลี่ยนไปของนายกฯ: เกมการเมืองหรือจริงใจ?
สิ่งที่น่าสนใจคือ ท่าทีที่เปลี่ยนไปของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ก่อนหน้านี้เธอเคยส่งสัญญาณว่า สนับสนุนการยกเลิกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า (YES) แต่ไม่นานมานี้กลับเปลี่ยนมาเป็น คัดค้าน (NO)
คำถามคือ เหตุใดแพทองธารถึงเปลี่ยนใจ?
เพื่อป้องกันแรงกดดันจากภาคสาธารณสุข? เนื่องจากแพทย์และนักวิชาการหลายกลุ่มแสดงความกังวลว่า บุหรี่ไฟฟ้าอาจเป็นอันตรายต่อเยาวชน และอุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้ากำลังขยายตลาดในกลุ่มวัยรุ่นหรือเพื่อสร้างภาพลักษณ์ในการศึกซักฟอกที่กำลังจะมาถึง? เพราะในขณะที่รัฐบาลต้องเผชิญกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การเร่งเดินหน้ากวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าและเปลี่ยนท่าที อาจเป็นความพยายามสร้าง “ผลงาน” ที่แสดงให้เห็นว่าเธอมีจุดยืนที่แข็งแกร่ง ที่จะใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นบันไดขั้นแรกในการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง
สุขภาพประชาชน vs. ผลประโยชน์ของทุนบุหรี่
ในขณะที่เกมการเมืองกำลังดำเนินไป ประชาชนยังคงเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
- ฝ่ายสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้า อ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้คนเลิกบุหรี่ธรรมดาได้
- ฝ่ายต่อต้าน โดยเฉพาะ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ยืนยันว่าบุหรี่ไฟฟ้าก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในเยาวชนที่กำลังตกเป็นเหยื่อการตลาดของบริษัทยาสูบ
ปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำเตือนว่า บุหรี่ไฟฟ้ายังมีสารพิษที่เป็นอันตราย และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นวิธีเลิกบุหรี่ที่ได้ผลจริง
ตัวเลขที่น่าตกใจ: บุหรี่ไฟฟ้ากับเยาวชนไทย
จากผลสำรวจของกรมควบคุมโรค ปี 2567 พบว่า อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นเพิ่มขึ้นถึง 300% ภายใน 5 ปีที่ผ่านมา นักเรียนมัธยมกว่า 15% เคยลองใช้บุหรี่ไฟฟ้า และ 5% ใช้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าในไทยมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีเยาวชนจำนวนมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ที่ป่วยจากบุหรี่ไฟฟ้ารุนแรงจนถึงขั้นต้องเข้าไอซียู
นี่คือเหตุผลที่ภาคสาธารณสุขกังวลว่า การทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้และอันตรายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชน
สภาและรัฐบาลจะเลือกทางไหน?
การต่อสู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพอีกต่อไป แต่มันคือเกมของอำนาจและผลประโยชน์
- สภาผู้แทนราษฎร กำลังจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ
- รัฐบาล ต้องเลือกว่าจะยืนหยัดเพื่อสุขภาพของประชาชน หรือจะเปิดทางให้ทุนบุหรี่ไฟฟ้าข้ามชาติเข้ามาครอบงำตลาดไทย
นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญ บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่แค่เรื่องของ “สุขภาพ” หรือ “เสรีภาพของผู้ใช้” อีกต่อไป แต่มันคือ “สนามรบของการเมืองและผลประโยชน์”
- รัฐบาลเดินหน้ากวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า แต่ยังมีการใช้กันอย่างเปิดเผยในสภา
- “มนุษย์ควัน” และกลุ่มล็อบบี้พยายามผลักดันกฎหมายเพื่อเปิดตลาดบุหรี่ไฟฟ้าในไทย
- แพทองธารเปลี่ยนท่าทีจาก YES เป็น NO มีเหตุผลแฝงทางการเมืองหรือไม่?
- บุหรี่ไฟฟ้ากำลังระบาดในเยาวชน แต่แรงกดดันจากกลุ่มทุนอาจทำให้รัฐบาลลังเลในการตัดสินใจ
นี่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์การกำหนดนโยบายสาธารณะภายใต้รัฐบาลแพทองธาร วัดกันว่าจะคำนึงถึงสุขภาพประชาชน อนาคตเยาวชนไทย หรือ โอนอ่อนไปกับผลประโยชน์ของทุนบุหรี่ข้ามชาติ!