ศึกซักฟอกกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับประเด็นสำคัญที่สังคมจับตามอง แต่สิ่งที่เป็นปัญหาซ้ำซากในทุกครั้งของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือ ข้อถกเถียงเรื่องเวลา ทั้งที่ความจริงสิ่งที่ประชาชนต้องการคือ “สาระของเนื้อหา” ที่ควรถูกตั้งคำถามว่ามันมากพอหรือไม่
ฝ่ายค้านและรัฐบาลใช้เวลาถึงสองสัปดาห์ กว่าจะลงตัวที่กรอบเวลาการประชุมให้ฝ่ายค้านมีเวลารวมกัน 28 ชั่วโมง (17 ชั่วโมงในวันที่ 24 มีนาคม และ 11 ชั่วโมงในวันที่ 25 มีนาคม) ลดลงไปสองชั่วโมงจากที่เคยขอไว้ 30 ชั่วโมง ประเด็นที่สำคัญกว่าจำนวนชั่วโมงคือ “เวลานี้ถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่?”
เวลาเยอะ…แต่ใช้ให้เกิดประโยชน์หรือเปล่า?
ทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรามักเห็นสองสิ่งเกิดขึ้น
- ฝ่ายค้านโจมตีเต็มที่ แต่บางครั้งขาดหลักฐานชัดเจน
- รัฐบาลใช้เวลาสวนกลับ แต่มักเน้นเกมการเมืองมากกว่าชี้แจงข้อกล่าวหา
เมื่อดูจากการจัดสรรเวลา ฝ่ายค้านมีเวลาอภิปรายมากกว่ารัฐบาล แต่ถ้าหากเนื้อหาที่นำเสนอเป็นเพียง วาทกรรม หรือ การขยายประเด็นทางการเมือง มากกว่าการชี้ให้เห็นปัญหาที่แท้จริง ประชาชนก็อาจตั้งคำถามว่า “นี่คือการซักฟอก หรือเป็นเพียงแค่สงครามวาทกรรม?”
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองแม้จะมีเวลาน้อยกว่า แต่ควรใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ การตั้งรับเชิงการเมือง แต่ต้องชี้แจงข้อกล่าวหาด้วยข้อมูลที่แน่นหนา มิฉะนั้น การอภิปรายก็จะกลายเป็นเพียงเกมที่ทุกฝ่ายพยายามรักษาภาพลักษณ์ของตน มากกว่าการแสวงหาความจริง
“เวลา” อาจไม่ใช่ปัญหา แต่ “เจตนา” ต่างหากที่สำคัญ
ในการซักฟอกครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์เรื่อง ห้ามนำเวลาของอีกฝ่ายมารวม ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามองว่าจะทำให้การอภิปรายมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเป็นเพียงการกำหนดกรอบที่ทำให้เนื้อหาถูกตัดจบกลางคัน
ในอดีต เราเคยเห็นการอภิปรายที่จบลงโดยประชาชนยังรู้สึก “ไม่ได้คำตอบอะไรที่ชัดเจน” , ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นโอกาสของฝ่ายค้านที่จะ พิสูจน์ว่ามีข้อมูลแน่นพอจะเขย่ารัฐบาล และเป็นโอกาสของรัฐบาลที่จะ พิสูจน์ว่ามีความโปร่งใสพอจะตอบทุกข้อกล่าวหา
ถ้าเนื้อหาดี เวลาไม่ใช่ปัญหา
แต่ถ้าเนื้อหาว่างเปล่า ต่อให้มีเวลาเป็นร้อยชั่วโมง มันก็จะเป็นแค่เสียงสะท้อนทางการเมือง ที่สุดท้ายประชาชนก็ยังไม่ได้อะไรอยู่ดี