“รัฐบาลชุดนี้ติด ร. การเมืองระหว่างประเทศ ไม่ออกหมัด ถูกต้อนจนมุม เสียสมดุลอำนาจ” -รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ถึงภารกิจของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ-รมว.กลาโหม ที่นำคณะเยือนจีนเพื่อพบชาวอุยกูร์และครอบครัวที่ถูกส่งตัวกลับจีน
“มันช่วยลดแรงกดดันจากนานาชาติได้ระดับหนึ่ง เพราะเราเห็นว่าบางครอบครัวได้บัตรประชาชน มีที่อยู่และบางส่วนได้รับเงินชดเชยจากทางการจีน แต่ยังไม่ครบ ต้องสอบถามให้ได้ทั้งหมด 40คน รวมถึง 109 คนที่ถูกส่งกลับจีนไปก่อนหน้านี้ด้วย”
หมายความว่าภาพออกมาดีแล้ว แต่ยังไม่พอ?
“ใช่ เพราะยังไม่ครบทุกคน” — มีข้อมูลอยู่แล้วว่าใครเป็นกลุ่มที่จีนเฝ้าระวังพิเศษ และใครเป็นผู้ลี้ภัยจากปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเราต้องคุยกับจีนให้ชัด ภายในหนึ่งเดือนที่ตัวแทนไทยจะกลับไปอีกครั้ง แต่ปัญหาคือ ความโปร่งใส “คนอาจมองว่าเป็นการจัดฉากก็ไม่แปลก เพราะแน่นอนว่ามีการเตรียมการ ครอบครัวที่อยู่ในระบบได้รับการสนับสนุนจากทางการจีนอยู่แล้ว”
จีนเปลี่ยนไปแค่ไหน?
“แต่จีนก็เปลี่ยนไปเยอะในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา และเปิดเผยให้คนเข้าไปตรวจสอบในสถานที่ที่ในอดีตต่างประเทศบอกว่าเป็นที่กักกันหรือสถานที่คุมขัง ซึ่งสำนักข่าวหลายแห่งก็ไปดูมาแล้ว พบว่ามีการเปลี่ยนระบบจากสถานที่กักกันเป็นสถานที่เยี่ยมชมแทน แต่อื่น ๆ ที่เราอยากไปดูในพื้นที่ที่ลึกกว่านี้ ก็ยังต้องเจรจากับจีนเพราะมณฑลซินเจียงเป็นเขตปกครองตัวเองที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึงสามเท่า แต่ไม่อยู่เหนือความสามารถของจีนสมัยใหม่ที่จะปูทางให้เราไปตรวจสอบประมาณสองร้อยกว่าครอบครัว เพื่อจะได้ใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันกับสหภาพยุโรป และสหรัฐที่กำลังจะตัดสินใจเรื่องกำแพงภาษี เพื่อลดแรงกดดัน มีความจำเป็นเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่ทางการไทยต้องเจรจากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในจีน มากกว่าระดับรมช.ที่เป็นสมาชิกลำดับที่ไม่สูงมากในพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน จึงต้องระวังเพราะเขาอาจไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพราะมีคนไม่กี่คนในจีนที่มีอำนาจตัดสินใจให้เราได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนมากกว่า ต้องเจรจาระหว่างผู้นำระดับสูงของทั้งสองประเทศ
จีนซัพพอร์ตไทยเต็มที่…แต่ใช่ว่าจะเป็นผลดี!
การที่จีนแสดงจุดยืนแข็งกร้าวว่า “อเมริกาและยุโรปไม่มีสิทธิแทรกแซงกิจการของจีนและไทย” เป็นประเด็นที่ รศ.ดร.ปณิธาน มองว่า “มันดูไม่ดีเท่าไหร่สำหรับเรา ยุโรปและสหรัฐมองว่าไทยกำลังตกอยู่ใต้อิทธิพลจีน การแถลงแทนไทยแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และในทางการทูต ถือว่า ไม่ควรทำ เราต้องกระซิบบอกจีน ว่าการพูดแทนไทยแบบนี้อาจทำให้เราลำบากเพราะมันจะตอกย้ำว่าประเทศไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลจีนจริง เราอาจเป็นประเทศเล็ก แต่เราไม่ควรเล็กในสายตาจีน จีนเคยให้เกียรติเรา และเราควรเรียกร้องให้จีนปฏิบัติกับเราอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ในฐานะ “พี่เบิ้ม” ที่มีไทยอยู่ภายใต้กำกับ และเราก็ต้องไม่ให้ใครมากำกับดูแลเราในลักษณะที่เราไม่เป็นไทแก่ตัวเอง”
มันอยู่ในภาวะที่ไทยเสียสมดุลไปหรือไม่?
“ใช่ ไทยเสียสมดุล และมันเกิดขึ้นเร็วมาก สหรัฐเองก็ใช้วิธีหวือหวา ไทยต้องปรับตัวให้ทัน เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงและการต่างประเทศของไทยมีศักยภาพสูง แต่ตอนนี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพวกเขาเลย ฝ่ายการเมืองต้องปลดล็อก ให้คนเหล่านี้ทำงานอย่างเต็มที่ การเมืองต้องไม่เป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศทั้งหมด ต้องให้มืออาชีพไปเจรจากับจีนว่า อย่าทำตัวเป็น ‘พี่เบิ้ม’ กับเราเกินไปเรื่องแบบนี้พูดกันนอกรอบได้ แต่ตอนนี้ไทยยังไม่ทำ”
นายกฯ เสี่ยงอยู่ในข่ายถูกสหรัฐจำกัด ”วีซ่า”
รศ.ดร.ปณิธาน ยังกล่าวถึงกรณีที่สหรัฐประกาศจำกัดวีซ่า “จนท.รัฐบาลไทย” ที่เกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนว่า ควรต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าขอบเขตของเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างไร “ถ้าคิดจากที่เขาพูด นายกฯ ก็อาจอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เพราะเป็นประธาน สมช. แต่ยังเชื่อว่าสหรัฐคงไม่เล่นบทหนักกับผู้นำประเทศไทย เพราะยังถือว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างกันดีอยู่ แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะการตัดสินใจเรื่องสหรัฐทำกันไม่กี่คน ซึ่งก็ต้องรอดูในวันที่นายกฯ จะเดินทางไปสหรัฐว่าจะเข้าประเทศเขาได้หรือไม่ เราจะรู้ก็ต่อเมื่อวันนั้นมาถึง”
รัฐบาลแพทองธาร” ติดร. “สอบไม่ผ่านการเมืองระหว่างประเทศ!
รศ.ดร.ปณิธาน วิจารณ์ตรง ๆ ว่า ไม่สามารถให้คะแนนงานด้านการเมืองระหว่างประเทศรัฐบาลชุดนี้ได้เลย เพราะไม่ได้ส่งการบ้าน เรียกว่า ติด ร. ถ้ายังปล่อยไปแบบนี้เรื่อย ๆ เมื่อครบเทอมก็อาจให้คะแนนไม่ได้ ตอนนี้ในทางการเมืองระหว่างประเทศนอกจากยังไม่ได้ออกหมัดแล้ว ยังถูกต้อนเข้ามุม มัวแต่รำมวย แสดงท่าทางจนไม่ได้คะแนนจริงจัง”
เขายกตัวอย่างการทำงานด้านการต่างประเทศที่ยังเป็นปัญหา เช่น ปัญหาชายแดนประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทะเล ไปจนถึงภาคใต้ จะไปเวทีไหนก็โดนสกัด จะร่วมมือกับจีนก็โดนสหรัฐสกัด จะร่วมมือสหรัฐก็โดนจีนสกัด ทำให้ไม่เห็นผลงานของรัฐบาล แม้แต่คนไทยที่ติดอยู่ที่ตะวันออกกลางก็ช่วยช้าและเสียชีวิตมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น จึงต้องปรับตัวกันใหม่ ต้องเร่งทำงานในทุกมิติ เชื่อว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านก็น่าจะหยิบยกประเด็นเหล่านี้ไปอภิปรายด้วย
รัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่มองอนาคต
รศ.ดร.ปณิธาน เล่าว่า นักวิเคราะห์ต่างประเทศมองว่า ที่เราพูดน้อยเรื่องถูกกดดันจากสหรัฐ เพราะกำลังกบดาน หลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้า กลัวว่าสหรัฐจะลงโทษเราแรงกว่านี้จีงไม่เคลื่อนไหวอะไร ถ้าแนวโน้มเป็นแบบนี้ก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะจะถูกข่มขู่ หรือบีบคั้นมากขึ้น สังเกตได้ว่าหลายประเทศที่ยืนหยัดกับสหรัฐก็จะได้รับการประนีประนอมมากกว่า เช่น แคนาดา จึงต้องดูว่าไทยจะทำอะไรได้บ้าง ที่ต้องระวังคืออย่าให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งการเมืองและฝ่ายประจำอยู่ในบัญชีที่เขาขึ้นทะเบียนต้องห้ามไม่ให้เข้าสหรัฐ เพราะจะเกิดความเสียหายมาก จึงต้องเจรจา “อย่าให้จิ้มว่าคณะที่ไปจีนทั้งหมดคือคนที่จะถูกจำกัดวีซ่า แบบนี้จะอันตรายมาก เพราะคนที่ไปมีระดับรองนายกฯ และรมว.กลาโหม สุดท้ายจะลามไปถึงความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงด้วย”
”อุยกูร์“ ปลายทางยังเสี่ยง…ได้แต้ม แต่ยังไม่พอ
สำหรับปลายทางของเรื่องอุยกูร์มีทั้งบวกและลบ สิ่งที่เป็นบวกคือเราไม่ต้องรับภาระอีกต่อไป และใช้เป็นโมเดลดำเนินการกับอีกหลายกลุ่มที่เข้ามาในลักษณะนี้ แต่ที่เป็นลบคือการเสียสมดุลระหว่างมหาอำนาจไปจนได้รับผลกระทบหลายอย่างตามมา เมื่อชั่งน้ำหนักทั้งบวกและลบแล้ว ที่เป็นลบอาจมากกว่า หากยังยืนยันความปลอดภัยชาวอุยกูร์ได้ไม่ครบทั้ง 40 คน และผลลบนี้จะติดตัวเราไปพอสมควร แต่ถ้ายืนยันได้น้ำหนักก็จะกลางและดีขึ้นเรื่อย ๆ”