แนวคิดให้รัฐหรือเอกชนเข้ามาซื้อหนี้เสียของประชาชน กำลังเป็นประเด็นร้อนในขณะนี้ โดยมีทั้งข้อเสนอจากภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดการหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่คำถามสำคัญคือ ใครจะซื้อ? แล้วผลกระทบระยะยาวจะเป็นอย่างไร?
รัฐจะซื้อหนี้ประชาชนจริงหรือ?
แนวคิดนี้ถูกพูดถึงมากขึ้นหลังจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้รัฐหรือเอกชนเข้ามาซื้อหนี้เสียของประชาชนจากธนาคาร เพื่อลดภาระหนี้สิน และช่วยให้ลูกหนี้กลับมาฟื้นตัวทางการเงิน ขณะที่ กระทรวงการคลัง เด้งรับพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทันที โดยกลุ่มที่จะเข้าไปช่วยแก้ไขจะเป็นกลุ่มที่เป็นหนี้เสียมีมูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 35% ของหนี้เสียทั้งระบบ 1.22 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่า 4 แสนล้านบาท
คำถามคือ… จะเอาเงินจากไหน? เมื่อทักษิณ ประกาศว่า “ไม่ใช้เงินรัฐแม้แต่บาทเดียว”
ตัวเลือกที่เป็นไปได้ ถ้ารัฐซื้อหนี้เอง อาจค้ำประกันหนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้เอกชนที่จะเข้าซื้อหนี้ จากนั้นให้บริษัทเอกชนเข้ามาซื้อหนี้ แล้วบริหารเองตามกลไกตลาด ถามว่า…แล้วเอกชนจะได้อะไร ในเมื่อ “ทักษิณ” บอกด้วยว่า “…ให้ประชาชนค่อย ๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน เริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกออกจากเครดิตบูโร เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำมาหากินใหม่”
แบบนี้…เอกชนจะได้อะไร? หรือมีใครสนใจจะทำการกุศล?
ธีรนันท์ ศรีหงส์ สวนแซ่บ “ใครเสนอแนวคิดควักเงินซื้อหนี้เอง”
ธีรนันท์ ศรีหงส์ อดีตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBank) แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า “การเข้ามาซื้อหนี้สินที่มีปัญหาของประชาชน โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินนั้น ทำได้ครับ ทำไม่ยากด้วย…ก็แค่ให้ ท่านที่มีความเชื่อมั่นในทีมของท่าน เอาเงินส่วนตัวท่านเองมาจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์แล้วไปขอใบอนุญาตจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากนั้นระดมเงินส่วนตัวจากเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องของท่านมาซื้อหนี้จากสถาบันการเงิน และท่านจะได้กำไรจากการลงทุนนั้นด้วย เพราะท่านเชื่อว่าท่านทำได้โดยไม่เกิดความเสียหาย ทำได้ทันทีเลย ไม่ต้องประกาศเป็นนโยบายรัฐบาลแต่อย่างใด”
เรียกว่า…เป็นความเห็นพุ่งตรงไปที่” ทักษิณ “แม้ไม่เอ่ยชื่อ คนอ่านก็รู้ว่าหมายถึงใคร? ได้อย่างแสบสันจริง ๆ
ผลกระทบที่ต้องระวัง: คนจ่ายหนี้จะหยุดจ่าย รอรัฐมาช่วย?
หนึ่งใน ข้อกังวลสำคัญ ของมาตรการซื้อหนี้เสีย คือ Moral Hazard หรือ พฤติกรรมที่ไม่รับผิดชอบทางการเงิน ถ้ามีการซื้อหนี้เสีย อาจเกิดพฤติกรรมหยุดจ่ายหนี้โดยเจตนา เพราะรอให้รัฐช่วยล้างหนี้แทน
ปัจจุบัน หลายคนพยายามจ่ายหนี้ต่อ เพราะกลัวติดเครดิตบูโร (Blacklist) แต่ถ้ารัฐส่งสัญญาณว่า “หนี้เสียมีคนมาซื้อให้” , อาจทำให้ ลูกหนี้ที่ยังจ่ายอยู่ หยุดจ่ายเพื่อรอรัฐช่วย หากเป็นแบบนี้ หนี้เสียในระบบอาจเพิ่มขึ้น มากกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์
ไม่เพียงเท่านั้นการเปิดโอกาสให้คนพ้นหนี้ กู้ใหม่ได้ ลบประวัติจากเครดิตบูโร จะเป็นความเสี่ยงของธนาคารในการสร้างหนี้เสียใหม่หรือไม่ ในเมื่อหนี้เดิมยังจ่ายไม่ได้ กู้ใหม่จะจ่ายได้หรือ?
ต้องไม่ลืมว่าการคิดเทียบเคียงกับการแก้ปัญหาหนี้เสียธนาคารในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งกับปัจจุบันมีความต่างกัน เพราะหนี้เสียรอบนี้มาจาก หนี้ครัวเรือน ไม่ใช่หนี้ธุรกิจ ลูกหนี้ไม่ได้ถูกฟ้องล้มละลายแบบปี 2540 แต่ยังมีโอกาสชำระได้ ถ้ารัฐซื้อหนี้ผิดคน อาจทำให้คนตั้งใจเบี้ยวหนี้เพิ่มขึ้น
สุดท้ายแล้ว หากรัฐเดินหน้าซื้อหนี้จริง ควรมีหลักเกณฑ์อย่างไรเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบ? นี่คือคำถามที่ผู้กำหนดนโยบายต้องตอบให้ได้ ก่อนลงมือทำจริง
“การแก้ปัญหาหนี้ ต้องระวังไม่ให้สร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม”