คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ นำโดย รังสิมันต์ โรม ประชุมหารือถึง ปัญหาการฟอกเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, บัญชีม้า และซิมม้า ที่กำลังเป็นภัยต่อสังคมไทย
หนึ่งในมาตรการที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ “การอายัดธุรกรรมในแพลตฟอร์มคริปโตเป็นเวลา 2-3 วัน” เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามเงินที่ถูกฉ้อโกงได้ทันก่อนจะไหลออกไปสู่บัญชีต่างประเทศ
ฟังดูเป็นแนวคิดที่ดี แต่มัน เป็นไปได้จริงแค่ไหน? หรือเป็นเพียงอีกหนึ่ง นโยบายขายฝัน ที่อาจใช้ไม่ได้จริง
การอายัดธุรกรรมคริปโต – คำพูดสวยหรู แต่ปฏิบัติจริงยาก
“70% ของเงินที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ถูกโอนไปยังคริปโต” เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกเปิดเผยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์พัฒนาไปไกลกว่าที่กฎหมายไทยจะตามทัน
การอายัดธุรกรรมคริปโต 2-3 วัน ฟังดูดี แต่ขัดกับธรรมชาติของคริปโต
คริปโตเคอร์เรนซีมีจุดเด่นที่ “ไร้ศูนย์กลาง” (Decentralized) ไม่มีหน่วยงานไหนสามารถควบคุมการทำธุรกรรมได้ และต้องไม่ลืมว่าการทำธุรกรรมในบล็อกเชน ไม่สามารถย้อนกลับหรือระงับได้ แม้ว่ารัฐบาลจะสั่งให้แพลตฟอร์มคริปโตในไทย (เช่น Bitkub หรือ Zipmex) ให้ความร่วมมือ แต่แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Binance, Coinbase หรือ OKX อาจไม่ปฏิบัติตาม
ไทยไม่มี Crypto Wallet ของรัฐ – แล้วจะอายัดเงินไว้ที่ไหน?
ปัจจุบัน ประเทศไทย ยังไม่มีระบบสำหรับจัดเก็บเงินของกลางในรูปแบบคริปโต แม้ว่า ปปง. และหน่วยงานรัฐจะเริ่มศึกษาวิธีอายัดคริปโต แต่ก็ยังไม่มีกลไกที่เป็นรูปธรรม ถ้าอายัดเงินได้จริง รัฐบาลจะจัดการกับเงินที่อายัดไว้อย่างไร? จะนำไปเก็บที่ไหน? จะคืนผู้เสียหายอย่างไร? คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบ
ไล่จับปลาด้วยมือเปล่า?
บัญชีม้าเป็นเครื่องมือหลักของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งถูกใช้เป็น ตัวกลางในการฟอกเงินก่อนจะไหลไปสู่คริปโต แม้ว่าหน่วยงานรัฐจะสามารถ อายัดบัญชีม้าได้เร็วขึ้น แต่ขบวนการเหล่านี้ก็ปรับตัวเร็วกว่า โดยการเปลี่ยนไปใช้ บัญชีม้าในคริปโตแทน หากแพลตฟอร์มคริปโตอยู่ภายใต้กฎหมายไทย เช่น Bitkub รัฐอาจสามารถขอข้อมูลและระงับบัญชีต้องสงสัยได้ แต่ปัญหาคือ แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่อาชญากรนิยมใช้ เช่น Binance, OKX, KuCoin นั้น ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย แม้แต่สหรัฐฯ ยังเจอปัญหาในการอายัดบัญชีของผู้ก่ออาชญากรรมในคริปโต แล้วไทยจะทำได้จริงแค่ไหน?
การฟอกเงินผ่านคริปโตเป็นปัญหาระดับโลก – ไม่ใช่แค่เรื่องของไทย
ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ, สหภาพยุโรป และจีน มีการควบคุมแพลตฟอร์มคริปโตอย่างเข้มงวด แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการฟอกเงินได้ 100%…ประเทศไทยที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับที่แข็งแกร่งจะสามารถทำได้จริงหรือ?
กรณีจะกำหนดให้ ธนาคารและค่ายมือถือร่วมรับผิดชอบ ในการตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัยฟังดูดี แต่ธนาคารและค่ายมือถือมีทรัพยากรเพียงพอที่จะไล่ตรวจสอบทุกธุรกรรมหรือไม่?
การจัดการโครงข่ายสื่อสารชายแดน – แค่การแก้ปัญหาปลายเหตุ?
แม้ว่าการควบคุม Fiber Optic และ Starlink จะช่วยลดปัญหาอาชญากรรมข้ามแดนได้บางส่วน แต่ถ้าการฟอกเงินยังทำได้ผ่านช่องทางดิจิทัล ต่อให้ปิดช่องทางสื่อสารได้ ก็ไม่สามารถหยุดการโอนเงินผิดกฎหมายได้อยู่ดี
หากจะเดินหน้าจริงจังอาจต้องคิดถึงการสร้าง “Crypto Wallet ของรัฐ” เพื่อรองรับการอายัดเงินผิดกฎหมายหรือไม่? เรามีความพร้อมในการเจรจาแพลตฟอร์มคริปโตระดับโลก เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการระงับธุรกรรมผิดกฎหมายแค่ไหน? จะพัฒนา AI และระบบตรวจสอบธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพ แทนที่จะรอให้ผู้เสียหายแจ้งความได้หรือไม่? หน่วยงานไหนเป็นเจ้าภาพประสานเพื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานสากล เช่น FATF (Financial Action Task Force) และ Interpol เพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน
มาตรการอายัดเงินคริปโตเป็น แนวคิดที่ดี แต่แทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลไทยจะเร่งสร้าง โครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายและเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง