นี่ไม่ใช่เสียงจากฝ่ายค้านในสภาฯ…แต่คือเสียงกระดูกสันหลังของชาติ ที่จะทำให้” รัฐบาลสะเทือน “…เพราะรัฐบาลแพทองธารไม่ฟังชาวนา…พวกเขาจึงเตรียมขับไล่!
24 มีนาคม 2568- ไม่เพียงรัฐสภาไทยจะเป็นเวทีฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น…เวทีใหญ่ที่ชาวนาต้องแสดงเอง เพราะรัฐไม่เคยฟัง…จึงต้องโชว์ฉากใหญ่ที่ฉายภาพความทุกข์ของ “ชาวนา” ที่เปลี่ยนจาก “แบกความหวัง” มาเป็น” แบกหน้า “เศร้าเข้ากรุง เพื่อทวงถามมาตรการช่วยเหลือ หลังยื่นหลายครั้งแต่สิ่งที่ได้มีเพียง…ความว่างเปล่า!
” มาตรการรัฐไม่มี มีแต่เพิ่มภาระให้ชาวนา เราไม่มีทางเลือก นอกจากต้องยกระดับความเคลื่อนไหวมาหน้าสภาฯ ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไรก็ต้องขับไล่รัฐบาล “ฐิติวัฒน์ กลีบมาลัย” แกนนำชาวนาภาคกลาง กล่าวกับ The Publisher ในรายการ เที่ยงเปรี้ยงปร้าง “ระหว่างสนทนากับ” สมจิตต์ นวเครือสุนทร “ผู้ดำเนินรายการ
นี่ไม่ใช่คำขู่…แต่คือเสียงนาฬิกาบ่งบอกว่าชนวนระเบิดใกล้ถูกจุดเข้ามาทุกขณะ
”อยู่ก็จน…อยู่ก็ตาย“ – ชีวิตจริงชาวนาในรัฐบาลแพทองธาร
ราคาข้าวในบางพื้นที่ตกเหลือเพียงแค่ 5,300 บาทต่อตัน และบางพื้นที่ถูกกดเหลือแค่ 4,400 บาทต่อตัน อ้างว่า” ข้าวดีด “ชาวนาไปถึงพ่อค้า ให้ราคาเท่าไหร่ ก็พูดไม่ออกนอกจากต้องเทขาย เพราะไม่รู้จะขนข้าวกลับไปขายใคร…ยิ่งรัฐบาลไม่ดูดำดูดี ไร้มาตรการรองรับ” ชาวนา “จึงถูกปล่อยไปตามยถากรรม
” ต้นทุนอยู่ที่ 6,500-7,000 บาท ชาวนาจะตายกันอยู่แล้ว…ราคาลงรายวัน 2-300 บาท เราไม่ไหวแล้ว โรงสีบางแห่งหยุดรับซื้อ รัฐไม่มีมาตรการประกันราคา แถมยังเพิ่มภาระห้ามเผาตอซังข้าว ทำให้ต้องจ่ายค่าอัดฟางเพิ่มไม่ต่ำกว่าไร่ละ 1,500 บาท แผนจัดการน้ำกำหนดชัด ใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว น้ำเขื่อนก็ปล่อยลงทุ่ง ป้องกันน้ำท่วมกรุง…แล้วใครช่วยปกป้องชีวิตชาวนา? “ฐิติวัฒน์ ถามอย่างสิ้นหวัง
นี่คือสภาพชาวนา พ.ศ.นี้” อยู่ก็จน…อยู่ก็ตาย”
เมื่อความเงียบงันในนา แปรเป็นเสียงตะโกนหน้าสภา
“ไม่ใช่แค่ราคาข้าวตกต่ำ แต่คือความรู้สึกว่าไม่มีใครเห็นหัวเรา”
— เป็นอีกหนึ่งวรรคทองของ ฐิติวัฒน์ ที่ให้สัมภาษณ์ไว้กับ The Publisher
เป็นประโยคที่สะท้อนใจชาวนาไม่ใช่แค่ภาคกลาง
แต่รวมถึงคนปลูกข้าวทั่วประเทศ ที่รู้สึกว่ารัฐบาลไม่ได้ยินเสียงพวกเขาเลย
แม้ชาวนาจะเป็นกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลักล้าน
แต่หลังเลือกตั้ง เสียงของพวกเขากลายเป็นเสียงที่ “รัฐไม่ฟัง”
การช่วยเหลือไม่ได้มีทิศทางระยะยาว
ไม่มีโครงสร้างราคาที่มั่นคง
ไม่มีมาตรการฟื้นฟูที่ยั่งยืน
ไม่มีแม้แต่ความใส่ใจในศักดิ์ศรีของชาวนาในฐานะ “ผู้เป็นกระดูกสันหลังของประเทศ”
พรรคเพื่อไทยกับบททดสอบคนเสื้อแดงยุคใหม่
รัฐบาลที่นำโดยแพทองธาร ไม่ใช่แค่แบกรับความหวังของฐานเสียง
แต่กำลังเผชิญกับบทพิสูจน์ว่า พรรคเพื่อไทยยังสามารถเป็นตัวแทนของ “คนตัวเล็ก” ได้อยู่หรือไม่
การนิ่งเฉยต่อชาวนา
การไม่เดินเข้าไปกลางนาเพื่อฟังปัญหา
แต่กลับปล่อยให้ความทุกข์ลามทุ่ง จนชาวนาต้องเดินเข้าสภาฯ “ฟังคำชี้แจง” ที่อาจย้อนกลับมาเป็นจุดแตกหัก หนักหนากว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในห้องประชุม
นี่คือบททดสอบว่า…พรรคเพื่อไทย “หัวใจยังเป็นของประชาชน” หรือเป็นแค่กลุ่มอำนาจที่หลงลืมรากเหง้า!
ระเบิดเวลา…จากนาข้าวสู่สภาฯ
นี่ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชีพหนึ่ง
แต่คือสัญญาณว่าความอดทนของประชาชนกำลังหมด
และรัฐบาลที่ไม่รับฟังเสียงจากแผ่นดิน
อาจไม่มีที่ยืนในแผ่นดินนี้ต่อไป
เมื่อชาวนาเริ่มลุกขึ้น รัฐบาลควรเริ่มนั่งลง และฟังให้มากกว่าพูด ทำให้มากกว่าแก้ตัว
เพราะครั้งนี้ “ระเบิดเวลา” ไม่ได้ตั้งอยู่ในมือฝ่ายค้าน
แต่อยู่ในใจของคนที่ปลูกข้าวให้เรากินทุกวัน
รัฐบาลแพทองธารอาจผ่านการอภิปรายในสภา
แต่จะ” ผ่านความไว้วางใจจากชาวนา “หรือไม่…ยังต้องรอลุ้น
อย่าลืมว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้วัดกันแค่เสียงในห้องประชุม…แต่ต้องฟังเสียงจากแผ่นดินที่กำลังแตกระแหงด้วยความทุกข์ยากของคนปลูกข้าวด้วย