เอสเอ็มเอสเตือนภัยถูกพูดถึงทุกครั้งที่เกิดเหตุ แต่ทุกทีที่เกิดเหตุเราไม่เคยได้รับเอสเอ็มเอสเตือนภัย—แผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ จนตึกก่อสร้างขนาด 30 ชั้นถล่ม มีคนงานสูญหายและบาดเจ็บจำนวนมาก เหตุการณ์สะเทือนใจนี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายทางกายภาพและชีวิต แต่ยังเขย่าความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบ “แจ้งเตือนภัย” ที่ควรมีแต่กลับไม่มีอยู่จริง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดคำถามว่า “ทำไมไม่มี SMS แจ้งเตือน?” และแน่นอน—ไม่ใช่ครั้งแรกที่คำถามนี้ไม่มีคำตอบ เพราะตั้งแต่โศกนาฏกรรมสึนามิ ก็มีการพูดถึงระบบแจ้งเตือนภัยมาโดยตลอด แต่ผ่านมา 20 ปี…ยังไม่มีใครส่งข้อความถึงเราในยามฉุกเฉิน มีแต่เสียงคนในครอบครัว เพื่อน โทรหาด้วยความเป็นห่วง…หรือรัฐบาลจะห่วงประชาชนน้อยไป?
หน่วยงานตื่นช้า ประชาชนต้องตื่นก่อน
เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น กสทช. ยังไม่สามารถให้คำอธิบายที่ชัดเจน ผ่านมา สองวัน “ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล” รองเลขาธิการฯ รักษาการแทนเลขาฯ กสทช. เพิ่งชี้แจงว่าในวันที่ 31 มีนาคม 2568 จะประชุมกับบริษัท Apple และ LINE เพื่อหารือการสนับสนุนระบบ Cell Broadcast และส่งข้อความผ่าน LINE
แต่ขอโทษที—ระบบแจ้งเตือนภัยไม่ควร “วิ่งตาม” เหตุการณ์ แต่ควร “วิ่งนำหน้า” วิกฤต
ชาวเน็ตรุมถล่ม “กสทช.” เอ็สเอ็มเอส…มากี่โมง?
ด้านเพจเฟซบุ๊ก “กสทช.” ได้โพสต์ข้อความว่า “สำนักงาน กสทช.ขอแสดงความห่วงใยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น…ขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างปลอดภัย” พร้อมระบุว่าได้กำชับค่ายมือถือดูแลระบบสื่อสารอย่างต่อเนื่อง
แต่แทนที่จะได้เสียงขอบคุณ กลับกลายเป็นว่าโพสต์นี้ตกเป็นเป้าทัวร์ลง:
“ไหน SMS”
“ลาออกรับผิดชอบหน่อยครับ ผิดหวังการทำงานขององค์กร”
“ระบบแจ้งเตือนอยู่ไหนคะ”
“ส่งเอสเอ็มเอสมาหลังจากแผ่นดินไหวหยุดแล้วนี่นะ”
“กสทช.ทำอะไรอยู่?”
บางความเห็นถึงขั้นด่าแรง พร้อมย้อนถามถึงความรับผิดชอบที่ควรจะมีตั้งแต่สึนามิ น้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินไหว…แต่วิกฤตแล้ววิกฤตเล่า ประชาชนก็ยังต้องค้นหาข่าวสารเองอยู่ดี
ระบบ Cell Broadcast: เคยอนุมัติงบ…แต่ยังไม่เกิดผล
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน 2567 กสทช.เคยอนุมัติงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ให้กับค่ายมือถือ เช่น AIS, TRUE และ NT เพื่อพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยเทคโนโลยี Cell Broadcast ซึ่งถือว่าเป็นระบบที่สามารถส่งข้อความตรงจากเสาสัญญาณไปยังมือถือในพื้นที่ได้ทันที ไม่ต้องรู้เบอร์ ไม่ต้องโหลดแอป และสามารถทำงานแม้ในสภาวะที่เครือข่ายล่ม
แต่เมื่อถึงคราวเกิดเหตุจริงในปี 2568 ผลที่ปรากฏคือ…ประชาชนเพิ่งได้รับ SMS หลัง 2 ทุ่มของวันเกิดเหตุ และลากยาวถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งหนังสือไปยังเลขาธิการ กสทช. ขอให้ส่ง SMS ถึงประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดแรงสั่นสะเทือน
รัฐบาลเพื่อไทย: เคย “ตื่น” ตอนกราดยิงพารากอน แล้วไงต่อ?
ในช่วงเหตุกราดยิงที่ห้างพารากอนเมื่อปลายปี 2566 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลฯ เคยกล่าวว่า นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แสดงความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบแจ้งเตือนภัย และมอบหมายให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน แบ่งแผนเป็น 2 ระยะ:
- ภายใน 1 เดือน: ใช้ SMS ตามตำแหน่ง (Location-Based Service)
- ระยะต่อไป: ใช้ Cell Broadcast อย่างเต็มรูปแบบ
หลายเดือนผ่านไป กลไกที่เคยพูดไว้—อยู่ไหน?
ไกลก้อง: ปัญหาไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือเจ้าภาพ
“ไกลก้อง ไวทยการ” หนึ่งในผู้ผลักดันระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน เคยตั้งคำถามว่า
ประเทศไทยมีค่ายมือถือหลักไม่กี่ค่าย ทำธุรกิจมากว่า 20 ปี แต่ระบบแจ้งเตือนภัยกลับยังไม่เกิด
ทั้งที่เรื่องนี้ควรมีเจ้าภาพตั้งแต่เหตุสึนามิ และน้ำท่วมใหญ่ปี 2554
เขาย้ำว่า สิ่งที่ขาดไม่ใช่งบประมาณ แต่คือ ภาวะผู้นำ และการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ-เอกชน-ตัวกลาง
ประชาชนต้องไม่รอ เมื่อ กสทช. รอแต่เปิดประมูลคลื่น
ประชาชนต้องไม่กลายเป็นเหยื่อของระบบราชการที่ล่าช้า ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ ทุกครั้งที่มีเหตุร้าย เสียงจากประชาชนมักดังขึ้นว่า “ไม่มีใครแจ้งเราเลย” ข้อมูลไม่มา ระบบไม่ทำงาน
เพราะในที่สุดแล้ว…
ชีวิตคนไทยไม่ควรต้องฝากไว้กับระบบที่รอแต่จัดซื้อ
และ กสทช. ก็ไม่ควรมีไว้เพื่อแค่กำกับค่ายมือถือหรือเปิดประมูลคลื่นความถี่
แต่ควรมีไว้เพื่อใช้เทคโนโลยี “ปกป้องประชาชน” ให้ทันเวลา
ไม่ใช่ SMS ดังตอนที่เราไม่มีโอกาสได้ยินแล้ว