นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์กับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” กรณีการตรวจพบเหล็กไม่ได้มาตรฐานจากตัวอย่างพื้นที่ตึกถล่ม โดยเปิดเผยว่า จากการเก็บตัวอย่างเหล็กล็อตแรก มีทั้งเหล็กกลมขนาด 9 มิลลิเมตร และเหล็กข้ออ้อยอีก 5 ขนาด ได้แก่ 12, 16, 20, 25 และ 32 มิลลิเมตร รวมทั้งหมด 6 ประเภท จาก 3 ยี่ห้อ เมื่อส่งตรวจที่สถาบันเหล็ก พบว่าเหล็กข้ออ้อยขนาด 20 และ 32 มิลลิเมตร มีคุณสมบัติต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
“จะเป็นสาเหตุของตึกถล่มหรือไม่ ยังต้องรอผลสอบจากคณะกรรมการที่นายกฯ ตั้งขึ้น เพราะอาจมีหลายปัจจัย ทั้งการออกแบบก่อสร้าง ปริมาณวัสดุที่ใช้ หรือคุณภาพวัสดุ เราไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง และจะตั้งคณะกรรมการเพิ่มเติมเพื่อสอบขยายผลต่อไป” นายเอกนัฏกล่าว
เขาย้ำว่า เหล็กด้อยคุณภาพที่ตรวจพบเป็นของโรงงานที่ปิดตัวไปแล้ว แต่คาดว่าสินค้าถูกผลิตไว้ก่อนถูกสั่งปิด พร้อมตั้งคำถามสำคัญ
“แล้วเหล็กเหล่านี้ที่อาจถูกนำไปใช้สร้างบ้านคนล่ะ จะทำอย่างไร? คงต้องเอาความจริงออกมาให้ปรากฏก่อน หน่วยงานราชการต้องร่วมมือกัน และอย่าทำให้เกิดความตื่นตระหนกในสังคม”
ขุดลึกถึงราก: ใครปล่อยให้เหล็กด้อยคุณภาพติดตรา มอก.?
รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยเพิ่มเติมว่า โรงงานเจ้าของเหล็กเคยพยายามขอเปิดโรงงานหลายครั้งแต่ไม่ได้รับอนุญาต กระทั่งมาเกิดเหตุตึกถล่ม จึงยิ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในแง่การให้เปิดโรงงาน และการตรวจสอบของกลาง หากของกลางที่เคยถูกอายัดไว้ “หายไปแม้แต่เส้นเดียว” ก็จะถูกดำเนินคดีเพิ่ม และเรื่องนี้อาจเข้าสู่กระบวนการเป็น “คดีพิเศษ” โดยได้ประสานไปยัง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมไว้แล้ว
“ของติดสัญลักษณ์ มอก. แต่กลับด้อยคุณภาพ มันแปลกไหมครับ? ต้องสืบให้ถึงว่าเกิดอะไรขึ้นในการออกใบอนุญาต มอก. ซึ่งโรงงานนี้ได้รับมาตั้งแต่ปี 2561 หรือไม่ ปัญหาส่วนใหญ่ในบ้านเราคือการทุจริต จึงต้องตั้งสติให้มั่น อย่าเอนเอียงเพราะผลประโยชน์ที่มีคนเสนอมา”
“รมต.สุดซอย” กับศึกเหล็ก สายไฟ ยาง และอิทธิพลมืด
เอกนัฏเผยว่า ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เขาเผชิญกับอุปสรรคหนักหนา ทั้งการตรวจสอบโรงงานเหล็กไม่ได้มาตรฐาน กากอุตสาหกรรม และการต่อสู้กับอิทธิพลที่พยายามวิ่งเต้น
“อย่าคิดว่าผมกลัว มีเจ้าหน้าที่ที่พร้อมทำงานตรงไปตรงมา วิ่งแล้วเปิดได้ไหมล่ะ? ก่อนหน้านี้ถึงขั้นมีการลงขันเพื่อหวังปลดผมจากตำแหน่ง”
ผลจากการดำเนินงานกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้โรงงานเหล็กปิดไปแล้ว 7 แห่ง และอยู่ระหว่างสอบอีก 3 แห่ง มีการยึดอายัดของกลางมูลค่ารวมเกือบ 400 ล้านบาท ขณะที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากสินค้าด้อยคุณภาพ เช่น สายไฟที่เสี่ยงไฟไหม้ เหล็กก่อสร้างที่เสี่ยงอาคารถล่ม และยางรถยนต์ที่เสี่ยงอุบัติเหตุ รวมแล้วนับหมื่นล้านบาทต่อปี
“ตอนนี้มีการย้ายโรงงานมาผลิตในไทย สินค้าล้นตลาด ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ ต้องจัดการทั้งในแง่ความปลอดภัยและเศรษฐกิจ”
“ไม่มีการวิ่งเคลียร์ ไม่มีการลูบหน้าปะจมูก”
รมว.อุตสาหกรรมย้ำจุดยืนว่า จะไม่มีการประนีประนอมกับผู้กระทำผิด
“ถ้านิยามตัวเองได้ ผมคือ ‘รมต.สุดซอย’ ผมไม่กลัวการย้ายตำแหน่ง เพราะทำสิ่งที่ถูกต้อง รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม ผมบอกเจ้าหน้าที่เสมอว่า ไม่ต้องกลัว มีอะไรผมรับหน้าเอง ถ้าไม่กล้า ผมจะทำเอง และรับผิดชอบเอง”
“ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่บางคนถูกข่มขู่ เราก็ต้องดำเนินการอย่างรัดกุม รอบคอบ ใช้สติ ผมคิดตลอดว่าหน้าที่ของผมต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าทำไม่ได้ก็ไปทำอย่างอื่นซะ”
“ผมรักอาชีพนักการเมือง”
ท้ายสุด เอกนัฏทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ผมไม่อายใครที่จะบอกว่าผมเป็นนักการเมือง เพราะตั้งใจอยากเป็นตั้งแต่เด็ก และเมื่อได้เป็นแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด คุณสมบัติของนักการเมืองคือ ต้องทำเพื่อส่วนรวม สุจริต และเที่ยงธรรม… แม่สอนผมมาแบบนี้ ผมระลึกเสมอว่า…เวลาของนักการเมืองเดินเร็ว อย่างผมเหลือเวลาราวสองปี แต่ข้าราชการมีเวลายาวนานกว่านั้น สิ่งที่คาดหมายให้สำเร็จต้องทำให้สำเร็จให้ได้ จึงต้องทำงานแข่งกับเวลา“
//////