2 เมษายน 2568—วันปลดแอก หรือวันพันธนาการของโลก?
“เราจะทวงคืนความยุติธรรมทางการค้าให้กับอเมริกา”
คือสัญญาณจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขีดเส้นตายให้ 2 เมษายน 2568 กลายเป็นสัญญาณเปิดฉาก สงครามภาษีรอบใหม่ ที่โลกไม่อาจเมินเฉยได้
ทรัมป์เรียกวันนั้นว่า “วันปลดแอก”
โดยประกาศแผน ภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs)
กับประเทศคู่ค้าแทบทั้งหมดของสหรัฐฯ ในอัตราเดียวกับที่ประเทศเหล่านั้นเก็บจากสินค้าอเมริกัน
หรืออาจขยับไปถึงการเก็บภาษีทั่วโลกแบบเหมารวม 20%
นี่ไม่ใช่แค่การขึ้นภาษี
แต่มันคือ แถลงการณ์ของแนวคิด “ทรัมป์เฟิร์ส”
ที่ไม่ได้มองว่าโลกคือเพื่อนร่วมโต๊ะ
แต่มองว่าทุกประเทศคือคู่แข่งที่ต้องเอาชนะ
และ…สุดท้ายบนโต๊ะเจรจานั้นอาจเหลือแค่สหรัฐเพียงประเทศเดียว?
⸻
ปลดแอกใคร—และใครต้องรับกรรม?
แม้คำว่า “อเมริกาเฟิร์ส” จะฟังดูเป็นธรรมชาติของผู้นำที่ต้องปกป้องชาติ
แต่นโยบายภาษีที่ออกมาในวันนี้สะท้อนว่า
อเมริกากำลังปลดแอกจากความร่วมมือ แต่พันธนาการทุกประเทศมาผูกไว้กับกฎของตน
เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้า
จีนตอบโต้
ยุโรปประกาศมาตรการสวนกลับ
และไทย…กำลังเผชิญความเสี่ยงแบบไม่ทันตั้งตัว
โลกไม่สามารถหลบอยู่ข้างเวทีได้อีกต่อไป
เพราะนี่คือเวทีที่ไม่มีแสตนอิน
และทุกประเทศต้องเล่นบทของตัวเอง
แม้ไม่เคยสมัครใจขึ้นเวทีนี้ด้วยซ้ำ
⸻
แล้วประชาชนอเมริกันล่ะ—ได้จริงหรือ?
ทรัมป์อ้างว่าแผนนี้จะสร้างรายได้กว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่หลายฝ่ายเตือนว่า นั่นอาจแลกมาด้วย
• ราคาสินค้าภายในประเทศที่พุ่งสูง
• ห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่ปั่นป่วน
• การจ้างงานที่หดตัวจากแรงกดดันภาษีซ้อนภาษี
ประชาชนอเมริกันอาจเริ่มตั้งคำถาม
ว่าการขึ้นภาษีที่ชื่อว่า “ปลดแอก”
จะทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงหรือแค่ เปลี่ยนผู้ที่ต้องทนทุกข์จากนโยบายนี้
จากชาติอื่น…มาเป็นประชาชนของตัวเอง
⸻
เกมของทรัมป์—เพื่ออเมริกาหรือเพื่ออำนาจของเขา?
ทรัมป์คือคนที่ใช้ “เศรษฐกิจ” เป็นฉากหลังของ “การเมือง”
ทุกการขยับ ไม่ว่าจะภาษี, การทูต, หรือการประกาศเป้าหมายใหม่
มักมีจุดร่วมอยู่ที่คำถามเดียวกัน:
“เขาจะได้อะไรในสนามเลือกตั้ง?”
นโยบายที่เขานำเสนออาจฟังดูรักชาติ
แต่วิธีที่เขาใช้มันกลับเอื้อให้ เขาเป็นพระเอกอยู่กลางเวทีเสมอ
แม้โลกจะสั่นไหว
แม้พันธมิตรจะถอยห่าง
แม้คนในประเทศเองจะเริ่มตั้งคำถาม
แต่ไม่อาจหยุด “ทรัมป์” ได้
อำนาจของทรัมป์…อาจไม่ชนะความจริงในบ้านของตัวเอง
ทรัมป์กลับมามีอำนาจแล้ว
แต่ปัจจัยที่เขาคุมไม่ได้คือ…ค่าครองชีพของคนอเมริกัน
ถ้าสินค้าแพง
ถ้าเงินเฟ้อกลับมา
ถ้าเศรษฐกิจถดถอย
เสียงโห่ร้องที่เคยต้อนรับเขา…อาจกลายเป็นเสียงถอนหายใจ
หรือเลวร้ายกว่านั้น…อาจเป็นเสียงโห่ร้องขับไล่?
เพราะความจริงในชีวิตประจำวัน
ไม่ได้ฟังคำปราศรัย
แต่มันคือการเดินเข้าร้านค้า—แล้วรู้สึกว่าของแพงขึ้นทุกวัน
และเมื่อประชาชนเริ่มรู้ว่า
“อเมริกาเฟิร์ส” ไม่ได้แปลว่า “ฉันอยู่ดีกินดีขึ้น”
กระแสในบ้านเอง…ก็อาจกลายเป็นคลื่นที่ถาโถมกลับไปยังผู้ที่อยู่กลางเวที
โลกที่ไม่มีตัวแทน ย่อมไม่มีที่หลบภัย
วันนี้ สหรัฐฯ เลือกแล้ว
เลือกเดินออกจากเวทีที่ตนเคยสร้าง
และสร้างกฎใหม่ที่ไม่มีใครมีสิทธิ์ต่อรอง
แต่เมื่อหนึ่งประเทศใช้เสรีภาพกดทับประเทศอื่น
คำถามคือ…นั่นยังเรียกว่าเสรีภาพได้อยู่หรือเปล่า?
โลกไม่สามารถเป็นเพียงผู้ชม
และประชาชนในอเมริกาเอง ก็อาจเริ่มรู้ตัวว่า
พวกเขาไม่ใช่พระเอกในเรื่องนี้เสมอไป
ทรัมป์ได้อำนาจคืน
แต่โลกได้อะไรกลับมา?
หรือสิ่งที่ทุกคนจะได้…คือบาดแผลร่วมกัน
ที่ไม่มีใคร…แสดงแทนได้
⸻
หมายเหตุ : เรียบเรียงโดย The Publisher | วิเคราะห์–ขมวด–เขียนร่วมกับ “ทองแท่ง” (AI คู่คิดที่คอยเสิร์ฟความลึกให้ทุกมิติ)