วันนี้ (3 เมษายน 2568) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกา หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยสูงถึง 36% ซึ่งนับเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในอาเซียน
แถลงการณ์ของรัฐบาลไทยระบุว่า ตระหนักถึงความจำเป็นของสหรัฐฯ ในการปรับสมดุลทางการค้ากับประเทศคู่ค้า ผ่านนโยบาย “ภาษีต่างตอบแทน” (Reciprocal Trade and Tariffs) ที่ถูกนำมาใช้ภายใต้นโยบายใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยล่าสุดมีการประกาศในงาน “Liberation Day” เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา (เวลาไทย) ว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% จากสินค้าทุกประเภท และจะปรับเพิ่มสำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มองว่ามีดุลการค้าเกินดุลหรือเอาเปรียบสหรัฐฯ ทั้งทางภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-tariff Barriers)
ในกรณีของประเทศไทย สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีในอัตรา 36% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นต้นไป
นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ระบุว่า มาตรการใหม่นี้ย่อมส่งผลกระทบต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ เองที่อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ ไทยเห็นความจำเป็นที่ผู้ประกอบการควรเร่งหาตลาดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว
รัฐบาลไทยได้เตรียมมาตรการรองรับ ทั้งในด้านการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ส่งออก พร้อมส่งสัญญาณความพร้อมเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรมและลดผลกระทบต่อทุกภาคส่วน โดยได้มอบหมายให้คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดตั้งขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา เป็นผู้ดำเนินการหลักในการประสานงาน
ย้อนปมรู้ล่วงหน้า แต่เพิ่งแถลง: รัฐบาลตั้งคณะทำงานตั้งแต่มกราคม แต่ยังไร้มาตรการรองรับชัดเจน
สำหรับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในวาระนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย โดยนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ก็มีสัญญาณชัดเจนว่า รัฐบาลทรัมป์จะใช้นโยบาย “ภาษีต่างตอบแทน” กับประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงไทย
รัฐบาลไทยเองได้ตั้ง “คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา” ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2568 ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่มีการเปิดเผยแนวทางรับมืออย่างเป็นรูปธรรม
การแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีแพทองธารในวันนี้ จึงถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่ายว่า “มาช้าเกินไปหรือไม่” ในขณะที่ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการส่งออกยังไม่เห็นมาตรการเยียวยาหรือเปิดตลาดใหม่อย่างเป็นระบบ ทั้งที่รัฐบาลทราบแนวโน้มนี้มานานแล้ว