ในวันที่ประเทศไทยเผชิญ “แรงกระแทกระดับโลก”
จากสงครามภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เล่นหนักใส่เอเชีย—
นี่ควรจะเป็น “เวทีสร้างภาวะผู้นำ” ของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร
แต่กลับกลายเป็น “จังหวะทอง” ที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ใช้ประกาศต่อสื่อว่า…
“พร้อมไปเจรจากับทรัมป์ด้วยตัวเอง ถ้ามีโอกาส”
⸻
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “พ่อพูดแทนลูก”
แต่มันคืออีกครั้ง…ที่สะท้อนว่า ใครคือตัวจริงในเกมอำนาจ
หลังจากนายกฯไทยเมินสายด่วนผู้นำอาเซียน
(ซึ่งมีทั้ง มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์)
แม้ประธานอาเซียนจะโทรเชิญด้วยตัวเอง
ผู้พ่อกลับแสดงบทบาทผนึกอาเซียนเจรจา “ทรัมป์”
บอกกำหนดการเสร็จสรรพ ประธานอาเซียนจะมาไทย 17 เม.ย.
แต่…ลูกสาวที่นั่งเก้าอี้นายกฯ ยังเงียบกริบ
เป็นอีกครั้งที่ภาพความเป็นนายกฯ ของแพทองธาร
ถูกฉีกทึ้ง…ด้วยน้ำมือผู้เป็น “พ่อ”
แล้วคนไทย…ควรมองเรื่องนี้อย่างไร?
⸻
รักลูกแบบไหน…ถึงออกมาทุกครั้งที่ลูกควรได้แสดงบทบาท?
สงครามการค้าไม่ใช่แค่เรื่องภาษี
แต่มันคือ บททดสอบระดับผู้นำ
ที่ต้องใช้ทั้งสติ เชาวน์ และจังหวะในการกำกับนโยบาย เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์
แต่สิ่งที่สังคมไทยได้เห็นคือ…
• ลูกได้เป็นนายกฯ แต่พูดน้อยกว่าพ่อ
• ทีมรัฐตั้งโต๊ะช้า แต่พ่อชิงให้สัมภาษณ์ก่อน
• สื่อรอคำตอบจากรัฐ แต่ได้คำชัดจากบิดาผู้นำที่ไม่มีตำแหน่ง
เมื่อพื้นที่สาธารณะยังมีแค่เสียงพ่อ
แล้วประชาชนจะมีศรัทธาในผู้นำได้อย่างไร?
⸻
เรากำลังเสียอะไร?
• เสียโอกาสในการยกระดับบทบาทไทยในเวทีอาเซียน
• เสียโอกาสสร้างความเชื่อมั่นต่อคู่เจรจาอย่างสหรัฐ
• และที่น่าเสียดายที่สุด…
คือเสียโอกาสที่นายกฯ แพทองธาร จะยืนอย่างสง่างามในฐานะผู้นำประเทศ
เพราะยังไม่ทันได้แสดงภาวะผู้นำ—บทพูดก็ถูก “พ่อ” แย่งไปหมดแล้ว
⸻
จะให้โลกมองไทยอย่างไร?
ถ้านายกฯ แสดงวิสัยทัศน์น้อยกว่าคนที่ไม่มีตำแหน่ง
ถ้าเวทีระดับโลกจดจำได้แค่ว่า “แพทองธาร ลูกสาวทักษิณ”
แล้วจะภาคภูมิใจกับ อันดับที่ 29 สตรีผู้ทรงอิทธิพลของโลก
ติดอันดับที่ 3 เอเชีย ของ “นิตสาร Forbes” ไปเพื่ออะไร?
ในเมื่อเป็นได้แค่ “ผู้นำไร้อันดับในประเทศไทย!”
ประชาชนไม่ได้เสียศรัทธาเพราะนายกฯ อ่อนหัด
แต่เพราะมี ”พ่อเจนจัด“ จนทำให้ลูกสาวกลายเป็น ”เด็กอมมือ“
⸻
สงครามการค้า…ควรเป็นเวทีพิสูจน์ “ภาวะผู้นำของลูก”
ไม่ใช่เวที “แย่งไมค์ของพ่อ”
⸻