ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเข้าสู่คลื่นเศรษฐกิจลูกใหม่
สิงคโปร์ ยุบสภาเพื่อเปิดทางให้ผู้นำรุ่นใหม่
ได้ฉันทามติจากประชาชนอย่างเต็มที่
เพื่อก้าวเป็น ”ผู้นำของประชาชน“ อย่างเต็มตัว
ไทย ยังให้พ่อของนายกฯ พูดแทนลูกในเวทีระหว่างประเทศ
ภาพตรงข้ามสองประเทศนี้
สะท้อนบทเรียนสำคัญว่า
“การเปลี่ยนผ่านผู้นำ” ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเก้าอี้
แต่คือการ “วางมือให้คนรุ่นใหม่ได้ยืนเดี่ยวจริง ๆ”
และที่สำคัญ ”ทายาทการเมือง“ ต้องเป็นไป ”เพื่อบ้านเมือง“
ไม่ใช่ ”ทายาทของตระกูล“ โดยใช้ ”บ้านเมือง“ เป็นข้ออ้าง
⸻
ลี เซียนลุง — ลอว์เรนซ์ หว่อง: ส่งไม้ต่อ แล้วปล่อยให้ขึ้นเวที
หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา 20 ปี
ลี เซียนลุง วางมือในปี 2024
และส่งไม้ให้ ลอว์เรนซ์ หว่อง
โดยไม่แทรก ไม่พูดแทน ไม่แย่งไมค์
จะมีการวิเคราะห์สถานการณ์อยู่บ้าง
ก็ไม่ใช่การล้ำเส้นแสดงบทบาทเป็นผู้กำหนดนโยบาย
หว่องกลายเป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัว
ที่ประกาศยุบสภาเอง
ตอบโต้สงครามภาษีด้วยเสียงของตัวเอง
และขอเสียงใหม่จากประชาชนด้วยความมั่นใจ
“การแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่ระหว่างพรรค
แต่คือ สิงคโปร์กับโลก”
— ลอว์เรนซ์ หว่อง
⸻
ทักษิณ — แพทองธาร: ส่งลูกขึ้นเวที แต่ยังไม่ยอมวางมือจากไมค์
ในขณะที่สิงคโปร์มีผู้นำรุ่นใหม่ที่สื่อสารอย่างสง่างาม
ประเทศไทยกลับเห็นอีกภาพหนึ่ง
นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ยังแทบไม่เคยพูดด้วยตัวเองในประเด็นใหญ่ระดับนานาชาติ
แบบมี…”หัวคิด“ และ ”หัวใจ“ ของนักบริหารอาชีพ
แต่กลับเป็น “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อของนายกฯ
ที่ออกมาประกาศว่า “มีโอกาสจะไปคุยกับทรัมป์” แทน
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “พ่อพูดแทนลูก”
และดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
⸻
จังหวะที่ ”ต่าง“ ระหว่าง ”แพทองธาร“ กับ ”ลอว์เรนซ์ หว่อง“
ในขณะที่ลอว์เรนซ์ หว่อง ประกาศยุบสภาเพื่อขอพลังใหม่
และเตรียมนำประเทศรับมือกับพายุเศรษฐกิจที่อาจถาโถมในครึ่งปีหลัง
แพทองธาร ชินวัตร
กลับไม่มีท่าทีต่อสงครามภาษีที่กำลังปั่นป่วนภูมิภาค
ตรงกันข้าม…ปรากฏภาพนั่งรถแห่ เล่นน้ำสงกรานต์
โดยไม่ปรากฏถ้อยแถลง หรือนโยบายรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่กระทบไทยโดยตรง
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของสไตล์
แต่คือคำถามว่า…ใคร “เห็นพายุ” และใครยัง “เล่นน้ำอยู่บนท้องถนน”
⸻
ไม่ใช่แค่เงา…แต่คือข้อครหา
นอกจากพูดแทนลูก
ทักษิณ ยังเป็นอดีตนายกฯ ที่แบก “ข้อครหาทางกฎหมาย” มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
• คำพิพากษาศาลฎีกาให้จำคุกรวม 8 ปี ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1ปี
• รับโทษเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนพักรักษา “คุกทิพย์”
• กลับมาใช้ชีวิตปกติ–พบผู้นำ–ให้สัมภาษณ์แทนรัฐบาล
และล่าสุด…ยืนยันเองว่าจะ “อาจได้เจรจากับทรัมป์”หากสบจังหวะและโอกาส
เป็นราคาคุยที่อาจต้องกระตุกไว้ว่า ”อย่าเพิ่งคิดไปคุยกับทรัมป์ เอาแค่ขอให้ศาลฯ อนุญาตออกนอกประเทศให้ได้ก่อน“
เพราะต้องไม่ลืมว่า ”ทักษิณ“ ยังเป็นจำเลยในคดีทำผิดมาตรา 112
ที่การพิจารณาของศาลอาญางวดเข้ามาทุกขณะด้วย
⸻
แล้วผู้นำตัวจริงอยู่ตรงไหน?
ในวันที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีหญิง
แต่เวทีระหว่างประเทศกลับเต็มไปด้วยเสียงของพ่อ
คำประกาศใหญ่…กลายเป็นของคนที่ไม่มีตำแหน่ง
ขณะที่คนถืออำนาจจริงยังไร้บทพูดสำคัญ
เมื่อโลกกำลังจับตาสงครามการค้า
แต่สิ่งที่จดจำได้จากไทยคือ “อดีต” ไม่ใช่ “ปัจจุบัน”
จะให้โลกจดจำในฐานะประเทศที่ส่งไม้ต่อสำเร็จได้อย่างไร
ถ้านายกฯ ยังอยู่ใต้เงา
และประชาชนต้องรอคำตอบ…จากคนที่ไม่ใช่ผู้นำตัวจริง
⸻
ไม้ต่อของผู้นำ ต้องมาพร้อม “เวทีของตัวเอง”
สิงคโปร์ยุบสภา เพื่อให้ผู้นำใหม่มีเวทีเป็นของตัวเอง
ไทยกลับยกเก้าอี้ให้ลูก เพราะ ”พ่อ“ ขาดคุณสมบัติ
หมดสิทธิเป็น ”นายกฯ“ ตลอดกาล
แต่ยังแย่งไมค์ทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญ
หรืออาจเป็นเพราะ…ลูกผู้เป็นนายกฯ
มิอาจส่องแสงได้ด้วยตัวเอง
ถ้าเป็นเช่นนั้น “พ่อที่ส่งลูก” มาทั้งที่ไม่พร้อม
นักการเมืองที่วางทายาท ทั้งที่ไร้ความสามารถ
คนไทยทั้งชาติ…ควรจดจำคนเหล่านี้ว่าอย่างไรดี?