ได้อ่านบทความของ วิทยา กุลสมบูรณ์ จาก มูลนิธิเภสัชชนบท แล้วเห็นด้วยในหลายประเด็น…โดยเฉพาะข้อความที่ว่า
“จึงไม่ควรให้กระแสปราบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นแค่เพียงประกายไฟวาบหนึ่งแล้วหายไป
แต่เปลี่ยนให้เป็นเปลวไฟที่ลุกโชนต่อเนื่อง จนเผาวงจรอุบาทว์ที่มีผลต่อเด็กและเยาวชนนี้ให้มอดไหม้จนหมดลง”
ประโยคนี้เตือนใจมาก เพราะประเทศไทยมีนโยบายแบบ “วูบวาบ” มามากแล้ว
เริ่มต้นเสียงดัง…แต่จบเงียบ เหมือนไฟลามทุ่งที่ไหม้แรง แต่ไม่เหลืออะไรไว้ให้ปลูกใหม่
อ่านบทความแล้วเห็นด้วยหลายอย่าง โดยเฉพาะ…
• การย้ำว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่แค่ควันลวงตา แต่คือ “กลไกตลาด” ที่ออกแบบมาเจาะเด็กโดยตรง
• การเสนอให้ 31 พฤษภาคม เป็น “วันดีเดย์ปราบบุหรี่ไฟฟ้าแห่งชาติ” ที่ไม่ใช่แค่วันรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ แต่คือ วันปฏิบัติการจริง ที่ทุกภาคส่วนต้องลุกขึ้นมาทำพร้อมกัน
• การแยกแนวทางออกเป็น “ไม้แข็ง” และ “ไม้อ่อน” ซึ่งเป็นมุมคิดที่น่าร่วมผลักดัน เพราะเราไม่ควรใช้แต่การลงโทษกับเด็กที่ใช้ แต่ต้องย้อนกลับไปถึง “ต้นตอ” และ “ตัวเร่งการตลาด”
สิ่งที่ควรพูดต่อจากบทความนั้น คือ…
- อย่าให้ดีเดย์ กลายเป็นแค่วันประชาสัมพันธ์
รัฐบาลเริ่มต้นไว้ดี มีผลงานเชิงรูปธรรมให้เห็นในช่วงต้นปี 2568
แต่ถ้าไม่มี “โครงสร้างรองรับให้ทำต่อเนื่อง” หรือไม่มี “หน่วยงานเจ้าภาพถาวร” เราอาจเห็นแค่แคมเปญโชว์ผลงาน ไม่ใช่นโยบายระยะยาว - ต้องจัดลำดับความสำคัญให้ชัดในท่ามกลางข่าวใหญ่
วันนี้ทุกอย่างกำลังแย่งพื้นที่ข่าวจากกัน ไม่ว่าจะเป็นบ่อนถูกกฎหมาย สงครามภาษี หรืออาคารถล่ม
แต่การปกป้องเด็กไทยจากระบบที่ทำร้ายสุขภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน
ถ้ารัฐบาลจริงจัง ต้องกล้ายืนยันว่า นี่คือภารกิจหลัก ไม่ใช่แค่การเร่งสร้างผลงานของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง - ต้องกล้ายอมรับว่า ปัญหานี้ “ถูกตลาดชนะรัฐ” มานานแล้ว
บุหรี่ไฟฟ้าแพร่หลายเพราะมันเข้าถึงง่ายกว่านโยบายรัฐ
เรายังไม่มีระบบสื่อสารกับเยาวชนที่เข้าใจเด็กพอ ยังไม่มีพื้นที่ให้เด็กที่เลิกบุหรี่ไฟฟ้ามาเป็นกระบอกเสียง
และยังไม่มีนโยบายที่กล้ายืนยันว่า “เราจะไม่ปล่อยให้ตลาดนำหน้าไปเรื่อย ๆ”
⸻
เปลี่ยนวันงดสูบบุหรี่โลก เป็นวันปราบบุหรี่ไฟฟ้า
ถ้าวันที่ 31 พฤษภาคมจะถูกยกให้เป็นหมุดหมายใหม่ของสังคมไทย
ขอให้เป็นวันเริ่มต้นที่แท้จริง — ไม่ใช่วันปล่อยของ
เพราะเราเชื่อเหมือนกับที่คุณวิทยาเขียนไว้ว่า
“บุหรี่ไฟฟ้าไม่ควรเป็นเรื่องของกระแส…แต่คือภารกิจของสังคม”
และถ้ารัฐบาลนี้กล้าเริ่มต้นสิ่งที่ถูก ก็ต้องกล้าทำให้ต่อเนื่อง
เพราะ เด็กไทยควรได้โตในสังคมที่ผู้ใหญ่ไม่ปล่อยให้ควันบุหรี่กลบอนาคตของพวกเขา