“ไทยควรบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ อย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว” — พิชัย ชุณหวชิร, รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
⸻
จากคำพูดสั้น ๆ สู่คำถามใหญ่ของประเทศ
ถ้อยแถลงของพิชัย ชุณหวชิร ดูเผิน ๆ เป็นเพียงความห่วงใยต่อระบบเศรษฐกิจในยุคที่โลกปั่นป่วนจากนโยบาย “ทรัมป์เฟิร์ส” ของสหรัฐอเมริกา แต่หากพิจารณาให้ลึก นี่อาจเป็นสัญญาณบางอย่าง — สัญญาณที่ชี้ว่า รัฐบาลกำลังขยับเข้าใกล้อำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มากกว่าที่เคย
โดยเฉพาะเมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวในบริบทของการ “หารืออย่างเป็นทางการ” ระหว่างกระทรวงการคลังและธปท. ในวันที่ 16–17 เมษายนนี้ ว่าด้วย แนวทางการจัดการพอร์ตการลงทุนของเงินสำรองระหว่างประเทศที่ถืออยู่ในพันธบัตรสหรัฐฯ
⸻
เงินสำรองระหว่างประเทศ…คือ “สมบัติของชาติ”
ประเทศไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 7 ล้านล้านบาท
ส่วนหนึ่งของเงินก้อนนี้ถูกนำไปถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อรักษาความมั่นคง เสถียรภาพ และสภาพคล่องในระบบการเงิน
การถือพันธบัตรอเมริกันจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ
แต่เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติที่อาจหมายถึง “การวางสมบัติของประเทศไว้ในมือคนอื่น”
⸻
เมื่อโลกเปลี่ยน…แต่เกมยังตั้งโดยอเมริกา
สหรัฐฯ โดยเฉพาะภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังใช้นโยบายดอกเบี้ยสูง บวกกับการเรียกคืนทุนกลับบ้านเพื่อฟื้นเศรษฐกิจชาติอย่างเข้มข้น
ในโลกเช่นนี้
• พันธบัตรสหรัฐฯ ที่เคย “มั่นคง” อาจกลายเป็น “กับดัก”
• ค่าเงินดอลลาร์ที่ผันผวน คือความเสี่ยงต่อเงินสำรอง
• และประเทศเล็กที่ถือหนี้ของสหรัฐฯ มาก อาจกลายเป็นผู้รับผลกระทบโดยไม่ทันตั้งตัว
⸻
“หารือ” เพื่อเตรียมรับมือ หรือเปิดประตูสู่การควบคุม?
คำว่า “หารือ” ฟังดูเป็นกลางและเป็นทางการ แต่หากย้อนดูท่าทีของรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย ก็ต้องตั้งคำถามว่า…
“นี่คือการหารือ…หรือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแทรกแซงนโยบายการเงิน?”
เพราะที่ผ่านมา
• พรรคเพื่อไทยเคยวิจารณ์ธปท. หลายครั้งว่าดำเนินนโยบายไม่สอดคล้องกับรัฐบาล
• รมว.คลังเองเคยเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ย หรือถึงขั้นให้นำเงินสำรอง 1 ล้านล้านบาทมาปล่อยสินเชื่อ
และในบริบทนี้ คำว่า “บริหารจัดการพอร์ตการลงทุน” อาจแปลได้หลายอย่าง — ตั้งแต่การ ขอความเห็น ไปจนถึงการ กดดันให้เปลี่ยนแนวคิด
⸻
เกมการเงินที่เราไม่เคยเข้าไปคุม…หรือกำลังจะเริ่มเข้าไปครอบ?
หากรัฐบาลกำลังมองว่า “เงินสำรองคือทรัพยากรที่ควรใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน”
คำถามคือ…จะใช้อย่างไร?
ใครควรมีอำนาจในการตัดสินใจ?
และเรามีระบบถ่วงดุลที่ดีพอแล้วหรือยัง?
ในประเทศที่โครงสร้างอำนาจเปราะบาง และการใช้นโยบายการเงินไม่ควรผูกโยงกับเกมการเมือง
การที่ฝ่ายบริหารเปิดประตูเชื้อเชิญแบงก์ชาติเข้าร่วมประชุม
จึงอาจไม่ใช่แค่ “การหารือ”
มองแง่ดี…ปรับจูนกันเพื่อรวมพลังสู้สงครามการค้า
มองแง่ร้าย…อาจซุกซ่อนความพยายาม “ทลายแนวกันไฟสุดท้าย” ของระบบเศรษฐกิจไทย
ซึ่งรัฐบาลเพื่อไทย…จ้องตาเป็นมันมานานแล้ว
เพียงแต่ไม่เคยสบช่อง…เพราะสังคมยังไม่เคยคลายเกลียวให้
⸻
เราเป็นเจ้าหนี้เขา…แต่เขาเป็นเจ้ามือของโลก
ไทยถือพันธบัตรสหรัฐฯ นั่นแปลว่าเราเป็น “เจ้าหนี้”
แต่โลกการเงินยังคงขับเคลื่อนด้วยดอลลาร์และอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกำหนดจากวอชิงตัน
เราคือผู้ฝาก แต่เขาคือผู้ตั้งโต๊ะ
วันนี้ หากรัฐบาลอยากเริ่ม “วางมือบนโต๊ะ”
สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่แค่ความเสี่ยงจากภายนอก…
แต่คือ เจตนาภายใน ว่าเรากำลังบริหารเพื่อความมั่นคงของประเทศ
หรือเพียงเพื่อประโยชน์ของ “รัฐบาลชุดหนึ่ง” ที่มองว่าเงินสำรองคืองบฯ ซ่อนรูป?
⸻
บทสนทนาเรื่อง “พันธบัตรสหรัฐฯ” อาจฟังดูไกลตัว
แต่ถ้ามันพัง…สิ่งที่พังไปพร้อมกันคือ “เงินในประเทศ” ของคนไทยทั้งชาติ
และแน่นอนว่า…แนวคิดแบบเดิมอย่างเดียวก็อาจไม่ปลอดภัยแล้วในโลกที่ปั่นป่วน
บทสรุปจึงต้องตั้งอยู่บนผลประโยชน์ชาติ
เพราะเงินสำรองของชาติ ไม่ควรเป็นเครื่องมือของรัฐบาลใด
แต่ควรเป็นหลักประกันให้คนทั้งชาติ
อาจเสี่ยงได้บ้าง…แต่ความเสี่ยงนั้นต้องคุ้มกับสิ่งที่ประเทศได้รับ
ที่สำคัญการตัดสินใจต้องตกผลึก…
ไม่ใช่ “ตกอยู่ในอาณัติ” ของนักการเมือง