รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค
ให้ความเห็นต่อการประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนล็อตใหม่ว่า แม้พลังงานจากแสงแดดและลมจะเป็นทิศทางที่ควรเดินหน้า แต่การกำหนดราคารับซื้อที่สูงเกินความเป็นจริง อาจกลายเป็นภาระที่ประชาชนต้องจ่ายโดยไม่เป็นธรรม
“พลังงานแดดลมยังควรซื้อเข้าระบบเรื่อย ๆ จนใกล้ 30% ของทั้งระบบ แล้วค่อยมาทบทวนว่าเราพัฒนากริดให้ทันหรือยัง เพราะช่วงนี้ยิ่งเพิ่มไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้ามาเรื่อย ๆ ไฟฟ้าจะยิ่งถูกลง”
รศ.ดร.ชาลี อธิบายว่า พลังงานหมุนเวียนทำให้ประเทศไม่ต้องพึ่งพาก๊าซ LNG มากนัก ซึ่งช่วยลดปัญหาสัญญาซื้อขายระยะยาวแบบ take or pay ที่ต้องจ่ายแม้ไม่ใช้ก๊าซจริง พร้อมย้ำว่า การเข้าใจว่า “ไฟฟ้าจะแพงขึ้นถ้าเพิ่มพลังงานหมุนเวียน” นั้นไม่เป็นความจริง เพราะล็อตใหม่นี้ไม่มี “ค่าพร้อมจ่าย” และไฟฟ้าใหม่ก็ถูกกว่าต้นทุนเฉลี่ยเดิม
“ถ้าของใหม่ถูกกว่า ของเดิม แทนที่แล้วไฟฟ้าจะต้องถูกลงครับ แต่รอบนี้ไฟฟ้าถูกลงนิดเดียว ทั้งที่ควรถูกลงกว่านี้อีก”
ปัญหาหลักที่รศ.ดร.ชาลีตั้งคำถาม คือ การตั้งราคารับซื้อไฟฟ้าแสงอาทิตย์ล็อตใหญ่ถึง 5,200 เมกะวัตต์ที่ราคา 2.17 บาทต่อหน่วย ทั้งที่ต้นทุนจริงต่ำกว่า 1.60 บาทต่อหน่วยแล้ว
“ราคารับซื้อ 2.17 บาทนี่ เอามาจากมติ กพช. เมื่อ 3–4 ปีก่อน ซึ่งมันล้าสมัยไปแล้ว ทำไมไม่เอาราคาใหม่ หรือเปิดประมูลราคาต่ำสุดเหมือนประเทศอื่น?”
รศ.ดร.ชาลีเตือนว่า เมื่อโรงงานเล็ก ๆ ที่ติดโซลาร์ 1–2 MW ยังต้องรออนุมัติข้ามปี แต่รายใหญ่กลับได้สิทธิ์ขายเข้าระบบหลักพันเมกะวัตต์ในราคาสูงกว่าต้นทุนจริง ย่อมสร้างคำถามถึงความเป็นธรรม
“ประชาชนถึงพากันบ่นอุบ ว่าหากินกันบนหลังประชาชน ไม่สนคำทักท้วงใด ๆ ทั้งที่นี่คือเงินของคนทั้งประเทศ”
ทั้งนี้ รศ.ดร.ชาลีเสนอให้รัฐหันมาใช้กลไกประมูลแข่งขัน เพื่อให้ได้ราคาที่สะท้อนต้นทุนจริง และช่วยลดภาระค่าไฟของประชาชนได้อย่างแท้จริง