การเลื่อนนัดเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไร้คำอธิบายที่ชัดเจนของรัฐบาลแพทองธาร กลายเป็นเรื่องที่สะเทือนความมั่นใจนักลงทุนทั่วทั้งภูมิภาค ไม่เว้นแม้แต่ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่เปิดใจกับ “The Publisher” ว่าเธอเองก็ “ยังไม่รู้เลยว่า ตกลงใครเลื่อนใครกันแน่ หรือแท้จริงแล้วสหรัฐฯ ยังไม่เคยรับนัดไทย แต่นายกฯ หลุดปากพูดไปก่อน”
“เลื่อนแบบไม่มีเหตุผล…หรือผิดนัดโดยไม่รู้ตัว?”
ศิริกัญญาตั้งคำถามถึงความคลุมเครือของรัฐบาล โดยระบุว่านายกรัฐมนตรีบอกว่าจะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ในวันที่ 23 เมษายน แต่จนถึงตอนนี้กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากฝั่งสหรัฐฯ ขณะที่ฝ่ายไทยก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ตรงกัน คนหนึ่งบอกว่าสหรัฐฯ ขอข้อมูลเพิ่ม ขณะที่อีกคนบอกว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายขอเลื่อน
“แบบนี้มันสื่อสัญญาณผิด ๆ ให้กับตลาด นักลงทุน และผู้ประกอบการทั้งหมด…ว่ารัฐบาลไทยสรุปตกลงอะไรได้จริงหรือยัง?”
เธอเห็นด้วยที่รัฐบาลไม่รีบร้อนในการเข้าสู่โต๊ะเจรจา เพราะต้องดูแนวทางของประเทศอื่นก่อน เช่น เวียดนาม ที่เจรจาไปหลายรอบแล้วและแม้แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็รับสายเอง
“แต่เราต้องมีไทม์ไลน์ ไม่ใช่เงียบหายแบบนี้…ประเทศอื่นเขาเข้าคิวกันหมดแล้ว ไทยโดนภาษี 36% ยังไม่มีนัดเลย”
“นักลงทุนรีรอ เพราะรัฐบาล ‘พูดแล้วไม่เกิด’”
ศิริกัญญาชี้ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นตอนนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องนโยบาย แต่เป็น “ภาวะไร้ความแน่นอน” ที่ทำให้นักลงทุนชะลอแผน ไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวรับมือยังไง หรือจะได้สิทธิพิเศษอะไรเหมือนประเทศอื่นหรือไม่
เธอบอกว่า ตอนนี้ทำได้อย่างเดียวคือ “ทำใจ” เพราะคงเปลี่ยนรัฐบาลยาก เนื่องจาก “เพื่อไทยไม่มีทางยุบสภาในช่วงที่คะแนนนิยมตกต่ำ” แต่อย่างน้อยควรเร่งดำเนินมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่พึ่งกลไก EXIM Bank ที่ฐานลูกค้าจำกัด
“ยิ่งเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต ยิ่งสะเปะสะปะ”
ในขณะที่นโยบายสำคัญอย่างการเจรจาการค้าชะงักงัน ศิริกัญญาตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลกลับเดินหน้ากองทุนหมู่บ้าน และโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเฟส 3 สำหรับคนอายุ 16–20 ปี
“นี่มันไม่ใช่ช่วงที่ควรกระตุ้นการบริโภค แต่น่าจะต้องเก็บกระสุนไว้ใช้ในจังหวะที่จำเป็น…1.5 แสนล้านจะกลายเป็นเงินที่เสียเปล่าไปเลย”
เธอเชื่อว่ารัฐบาลตีโจทย์การเมืองผิด คิดว่ายิ่งแจก ยิ่งได้คะแนน แต่จริง ๆ แล้วคือการยิงใส่เท้าตัวเอง
“งบปี 69 ต้องปรับ แต่รัฐบาลไม่ยอมขยับ”
ศิริกัญญาแสดงความกังวลต่อกรอบงบประมาณปี 2569 ที่ยังไม่มีการปรับเพื่อรับมือสงครามการค้า ทั้งที่เวลาปรับงบยังเหลือ และสถานการณ์โลกเปลี่ยนไปหมดแล้ว
“ยางพาราราคาตก รถยนต์โดนภาษี 25% แล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ขยับ มาตรการอะไรก็ยังไม่มี…รออีกหน่อยจะสายเกินไป”
“ถึงเวลาแล้วที่ต้องใช้เงิน…แต่ต้องมีรายละเอียด!”
เธอยอมรับว่า สุดท้ายแล้ว ประเทศไทยอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกู้เงินเพิ่มเติม หรือขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 75–80% ของ GDP เพื่อพยุงเศรษฐกิจระยะยาว
“ตอนโควิดเราใช้ไป 1.5 ล้านล้าน รอบนี้อาจต้องใช้ถึง 2 ล้านล้านภายใน 5 ปี เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจและดูแลผู้ประกอบการ…แต่ที่สำคัญคือต้องมีแผน ไม่ใช่กู้แล้วแจกเหมือนรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่ใช้กระดาษ 5 แผ่น!”
เธอย้ำว่าหากจะกู้ ต้องบอกให้ชัดว่าจะเอาไปทำอะไร ติดตามผลยังไง และจะทำให้ประเทศรอดจากวิกฤตได้อย่างไร
⸻