“รมว.ต่างประเทศต้องเลิกทำตัวเป็นลูกสมุน คนถือกระเป๋าให้ทักษิณ สลัดอดีตแล้วมาเป็นรัฐมนตรีอย่างเต็มภาคภูมิได้แล้ว” — กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
—
แถลงการณ์คนละฉบับ คือปัญหาต้นทาง
กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ เปิดใจกลางรายการ เที่ยงเปรี้ยงปร้าง ถึงกรณีไทย–กัมพูชา ที่ต่างฝ่ายต่างออกแถลงการณ์หลังการประชุม JBC ว่าเป็นเรื่องที่ “ไม่ควรเกิดขึ้น” เพราะตามหลักการทางการทูตควรมีแถลงการณ์ร่วมอย่างเป็นทางการ มิใช่ต่างคนต่างออกเองแบบนี้
“กระทรวงต่างประเทศต้องเป็นแกนกลาง พูดคุยกันให้เข้าใจทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในเมื่อผู้นำสองประเทศมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ทักษิณ–ฮุน เซน แพทองธาร–ฮุน มาเนต ก็ควรคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่ใช่ปล่อยให้ลุกลามแบบนี้”
——-
เตือนรัฐไทย: ต้องทบทวนท่าทีให้ชัด
เขาเสนอว่า กระทรวงต่างประเทศต้องเชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมา “อบรม” และควรใช้กลไกความมั่นคงอย่าง สมช., กลาโหม, กฤษฎีกา มาทบทวนท่าทีร่วม เสนอ ครม. และแจ้งรัฐสภาอย่างเป็นระบบ “จะไปทะเลาะกับเด็กเกเรทำไม” กษิตกล่าว
———-
อย่าให้เวที JBC เป็นเพียงภาพสวยหลังประชุม
อดีตรมว.ต่างประเทศ แนะนำว่า การประชุม JBC ที่จะประชุมกันอีกเดือนกันยายน ก็ต้องให้ได้ข้อสรุป และออกแถลงการณ์ร่วมกัน ไม่ใช่ออกคนละฉบับอีก ที่สำคัญ คณะเจรจาต้องรายงานผลให้รัฐบาลและรัฐสภารับรู้ และชี้แจงต่อสาธารณะให้เข้าใจ
————
MOU 43 คือกรอบหลัก ไม่ใช่เลือกบางจุด
ในมุมมองอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ การเจรจาแบบเลือกบางจุดของกัมพูชานั้น “บ้าบอ” เพราะตลอดแนวชายแดนมีปัญหาทับซ้อนกันทั้งหมด ต้องใช้ MOU ปี 43 เป็นหลักการ ไม่ใช่จะเอาบางพื้นที่ขึ้นศาลโลก บางจุดเจรจาทวิภาคี
“เราจะไปเล่นเกมบ้า ๆ แบบเขาทำไม ถ้าฮุน เซน พ่อลูกยังพูดไม่สมเหตุสมผลก็ต้องกล้าบอก ไม่ต้องไปงี่เง่าด้วย เดินหน้าชี้แจงกับสังคมโลก ทั้งสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ทั้งที่ยูเอ็น ว่าเราทำอะไรอยู่ ไม่ต้องไปเต้นตามเขา”
———
ทูตต้องขยับ นักวิชาการต้องร่วมวง
กษิตเสนอให้สถานทูตไทยทั้งที่กรุงพนมเปญและกรุงเฮกขอสำเนาคำร้องของกัมพูชาต่อศาลโลกมาศึกษาให้ชัด “จะได้รู้ว่าเขาฟ้องอะไร เราจะได้อธิบายกับประชาชนว่าความจริงคืออะไร”
ในเวลาเดียวกัน เขาย้ำว่า กระทรวงต่างประเทศต้องเชิญนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว ภาคประชาชน เข้ารับฟังและร่วมอธิบาย เพื่อให้เกิดจุดยืนร่วมกันในประเทศ และไม่ปล่อยให้กลไกภาครัฐแสดงออกขัดแย้งกันเอง
———-
อย่าปล่อยให้สายสัมพันธ์ส่วนตัวทำร้ายชาติ
“ทำไม JBC ที่ควรประชุมทุกเดือนหายไปเป็นสิบปี ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเกิดเหตุปะทะจนทหารเขมรตาย ผู้นำที่รักกันเหมือนญาติ ทำไมไม่รีบคุยกันตั้งแต่แรก?”
อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศยังตั้งข้อสังเกตว่า หรือความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล — ทักษิณกับฮุน เซน — ไม่ราบรื่นแล้ว? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งต้องระวังอย่าให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกระทบผลประโยชน์ชาติ
“รมว.ต่างประเทศต้องทำหน้าที่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ทำตัวเป็นลูกสมุน เด็กถือกระเป๋าให้ทักษิณ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ต้องสลัดอดีต และยืนหยัดในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศไทยอย่างเต็มภาคภูมิได้แล้ว”
———-
อย่าเอาชาตินิยมมาเล่นเกมการเมือง
กษิตปิดท้ายว่า การที่กัมพูชาปลุกกระแสชาตินิยมเป็นเรื่องของการเมืองภายใน ไทยต้องไม่ตอบโต้ด้วยการปลุกกระแสกลับ เพราะจะยิ่งทำลายความสัมพันธ์ของประชาชนสองประเทศโดยไม่จำเป็น
“ภาคประชาชน นักเคลื่อนไหวในไทยก็อย่าใช้เรื่องนี้เล่นการเมือง”
#JBC #ศาลโลก #ชายแดนไทยเขมร #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #กองทัพไทย #รัฐบาลแพทองธาร #ศาลโลก #ปราสาทตาเมือนธม #ช่องบก #ปราสาทตาเมือนโต๊ด #ปราสาทตาควาย #mou43 #MOU44 #แรงงานกัมพูชา