เปิดข้อมูลโดยสำนักข่าวอิศรา ต่อยอดโดย ThePublisher
“โตไวผิดปกติ” ไม่ใช่แค่คำชมในโลกธุรกิจ หากแต่มักเป็น “สัญญาณเตือน” เมื่อมันเกิดขึ้นท่ามกลางเงื่อนงำทางการเมืองและผลประโยชน์ทับซ้อน
กรณีล่าสุดของ กันต์ธีร์ ศุภมงคลชัย หรือที่รู้จักกันในนาม “กัน จอมพลัง” นักเคลื่อนไหวชื่อดัง ถูก สำนักข่าวอิศรา เปิดเผยข้อมูลว่า
– ธุรกิจในเครือของเขา ขยายตัวรวดเร็วในสาย จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล (หวย) และ ธุรกิจรักษาความปลอดภัย (รปภ.)
– รายได้รวมเกือบ 60 ล้านบาท ภายในเวลาไม่นาน
แต่ที่ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถาม คือ
– สถานที่จดทะเบียนบริษัทไปตรงกับที่อยู่เก่าของ ธรรมนัส พรหมเผ่า นักการเมืองชื่อดัง
– มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของธรรมนัส ทั้งทางตรงและทางอ้อม
– และที่สำคัญที่สุด รายได้ธุรกิจพุ่งขึ้น สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ธรรมนัสกุมอำนาจทางการเมืองสูงสุด
———-
โตเพราะธุรกิจ หรือโตเพราะการเมือง?
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ “หวย” และ “รปภ.” เป็นสองวงการที่ “เงินสดหมุนเวียนสูง” และ “ตรวจสอบยาก” โดยเฉพาะเมื่อมี “เส้นสายทางการเมือง” หนุนหลัง การขยายตัวอย่างรวดเร็วในสองสายธุรกิจนี้ จึงตั้งคำถามว่า:
– เป็นการโตจากความสามารถทางธุรกิจจริง ๆ หรือโตจากการได้รับอภิสิทธิ์ที่ไม่เปิดเผย?
– มีการเอื้อประโยชน์จากเครือข่ายอำนาจหรือไม่?
—————
นักเคลื่อนไหวที่พึ่งพาการเมือง: ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือ
น่าเป็นห่วง เมื่อบทบาท “นักเคลื่อนไหว” ซึ่งควรเป็นพลังตรวจสอบรัฐ อาจกลายเป็น เครื่องมือใหม่ของอำนาจ
หากนักเคลื่อนไหวบางราย มีความเชื่อมโยงแนบแน่นกับการเมือง อาจกลายเป็นรูปแบบใหม่ของการ “กินรวบ” ทั้งด้านธุรกิจและอำนาจ ถูกตั้งคำถามได้ว่าบทบาทการเคลื่อนไหวอาจกลายเป็นแค่ “หน้าฉาก” เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง หาผลประโยชน์ส่วนตัว
ความน่าเชื่อถือของภาคประชาชน ในการต่อสู้เพื่อความโปร่งใส อาจถูกกัดกร่อน และตั้งคำถามว่า มีใครใช้การเคลื่อนไหวเป็น “ใบเบิกทาง” ไปสู่ผลประโยชน์แฝงหรือไม่
—————-
หนึ่งเหตุการณ์ หลายบทบาท: ปูทางสู่เครือข่ายอำนาจ
ย้อนกลับไปตอนเกิดเหตุรถปาดกันในพื้นที่ธัญบุรี:
– “พีช PM” บุตรชายของ “นายกเบี้ยว” (บ้านใหญ่ธัญบุรี) คือผู้ก่อเหตุ
– “กัน จอมพลัง” เข้ามาเป็นตัวกลางช่วยประสานงาน ทั้งไกล่เกลี่ย และหาทางเยียวยาผู้เสียหาย
– แต่แทนที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากผู้ก่อเหตุโดยตรง กลับมีการนำเงินส่วนหนึ่งจาก มูลนิธิ ที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง มาใช้
การเคลื่อนไหวครั้งนั้น ไม่เพียงทำให้เกิดการตั้งคำถาม “กัน” ช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ เครือข่ายคำรณวิทย์ ที่กำลังส่งคนลงเลือกตั้งแข่งกับบ้านนายกเบี้ยวได้อีกทางหนึ่งหรือไม่?
ไม่ว่าบังเอิญหรือจงใจ การใช้ “ความเดือดร้อน” เป็นเครื่องมือสร้างแต้มให้การเมือง กำลังเผยโครงสร้างที่ลึกกว่านั้น
———-
3 ขั้วประสานผลประโยชน์: ภาพใหญ่ที่เริ่มชัด
หากต่อจิ๊กซอว์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน อาจมองภาพได้ดังนี้:
- ภาคประชาชน (นักเคลื่อนไหว) — ใช้บทบาทไกล่เกลี่ย สร้างความน่าเชื่อถือในสังคม
- ภาคการเมือง (เครือข่ายคำรณวิทย์–ธรรมนัส) — เชื่อมต่อและขยายอำนาจผ่านการช่วยเหลือ สร้างภาพลักษณ์
- ภาคธุรกิจ (หวย–รปภ.) — เติบโตผิดปกติในช่วงเวลาที่อำนาจรัฐเอื้อต่อการขยายตัว
นี่ไม่ใช่เรื่อง “ตัวบุคคล” อีกต่อไป แต่อาจเป็นการประสานกันของ เครือข่ายผลประโยชน์ ที่แทรกซึมทั้งภาคสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ
เส้นแบ่งที่เลือนหาย
เมื่อการเมืองใช้ภาคประชาชนสร้างเครดิต ภาคประชาชนใช้ธุรกิจสร้างทุน และธุรกิจใช้การเมืองเปิดทาง ทุกอย่างก็ถูกหลอมรวมเป็นเครื่องจักรผลประโยชน์ขนาดใหญ่
และสิ่งที่ถูกหลงลืมไปอย่างเงียบงันในกระบวนการนี้ คือ “ประชาชนตัวจริง” ที่สมควรได้รับความยุติธรรมและความโปร่งใส — ไม่ใช่ถูกใช้เป็นหมากเบี้ยทางอำนาจ
————
การเปิดข้อมูลของ สำนักข่าวอิศรา ในครั้งนี้ ไม่ได้เพียงแต่สะท้อนเรื่องส่วนตัวของนักเคลื่อนไหวคนหนึ่ง แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สังคมไทยต้องเผชิญ
ความไว้วางใจในสังคม คือสิ่งเปราะบางที่สุด มันสร้างยาก แต่พังง่าย และบางครั้ง ก็พังลงโดยไม่ต้องมีศัตรูภายนอกเลย หากแต่เกิดจากความไม่สุจริตที่ถูกตีแผ่ และขาดคำชี้แจงที่สมเหตุสมผล
แต่ในสังคมที่ผลประโยชน์เฉพาะหน้ามาก่อน…เราอาจเห็นสังคม “ไม่ถือสา” อ้างว่า “เขาเอาเงินมาจากไหนไม่สนใจ เพราะเงินนั้นเอาไปช่วยประชาชน”
ถ้าเป็นแบบนั้น…เราก็กำลังอยู่ในสังคมที่ไม่มีทางจัดการ “ทุจริต” ได้เลย