การกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องผิด หากใช้ภายใต้กรอบวินัยที่เข้มงวดและมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในรัฐบาลแพทองธาร–เศรษฐา คือการกู้เงินมหาศาล เพื่อการแจกจ่ายในนามประชานิยม โดยที่ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไม่ตอบสนอง
⸻
งบประมาณขาดดุลพุ่งต่อเนื่อง กู้แล้วกู้อีก
รัฐบาลเพื่อไทยได้จัดทำงบประมาณปี 2567–2569 โดยมีขาดดุลรวมกว่า 2.5 ล้านล้านบาท ภายใน 3 ปี
• ปี 2567: ขาดดุล 805,000 ล้านบาท (หลังเพิ่มงบกลางพิเศษ)
• ปี 2568: ขาดดุล 860,000 ล้านบาท
• ปี 2569: ขาดดุล 860,000 ล้านบาท
นี่คือการกู้เงินปีละไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท
ขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าคาด — ปี 2568 คาดโตเพียง 2.6%–2.8% เท่านั้น ต่ำกว่าเป้าหมายที่ “แพทองธาร” เคยประกาศตอนหาเสียงภายในหนึ่งปีดันจีดีพี 5% แบบครึ่งต่อครึ่ง
และ…มีแนวโน้มว่าจีดีพีอาจหลุด 2 % ไปอยู่ที่ 1.8% ตามที่ IMF ประเมิน หรืออาจเลวร้ายกว่านั้น
ในขณะที่…พื้นที่การคลังของประเทศเหลือน้อยเต็มที
อันเป็นผลมาจาก 2 ปี รัฐบาลเพื่อไทย 3 ปีงบประมาณ
ก่อหนี้เพิ่ม…เติมรายได้ “ไม่ไหว”
⸻
ใช้เงินเพื่อการเมืองอย่างเพลิดเพลิน แต่ทำเศรษฐกิจติดหล่ม
เมื่อพิจารณาการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล เช่น โครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท หรือแผนแจกเงินรูปแบบต่าง ๆ
จะพบว่าเม็ดเงินเหล่านี้ไม่ได้ถูกวางเป้าหมายไปยังการเพิ่มผลิตภาพ หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างการเติบโตในระยะยาว
สิ่งที่ได้ คือ “อัดฉีดชั่วคราว” เพื่อหวังผลทางการเมือง แต่ไม่ได้สร้างศักยภาพใหม่ให้เศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจโลกที่ซบเซา และหนี้ครัวเรือนที่สูงเกิน 90% ของ GDP ซ้ำเติมให้การบริโภคไม่สามารถขยายตัวได้แม้จะอัดเงินเข้าไป
⸻
ประเทศเผชิญภัยสงครามการค้า แต่พื้นที่การคลังแทบไม่เหลือ
เมื่อรัฐบาลประกาศแผนเตรียมกู้เงินเพิ่ม อีก 5 แสนล้านบาท เพื่อรับมือกับสงครามการค้าระลอกใหม่
ขณะที่หนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ที่ 64% ของ GDP และมีแนวโน้มแตะ 70% ในปี 2569
นั่นหมายความว่า ประเทศไทยจะต้อง “ขยายเพดานหนี้” อีกรอบ เพื่อให้กู้ได้ต่อไป
ซึ่งเสี่ยงต่อการโดนลดอันดับความน่าเชื่อถือ และทำให้ต้นทุนการกู้เงินของประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต
⸻
ใครคือผู้พาประเทศมาถึงจุดนี้?
ความเสี่ยงที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในระบบการคลังของไทย ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ
แต่มาจาก การบริหารจัดการที่ใช้เงินเพื่อการเมืองอย่างเพลิดเพลิน โดยขาดการวางแผนระยะยาวที่รอบคอบ
รัฐบาลแพทองธาร–เศรษฐา คือผู้ที่เลือกเดินเส้นทางนี้เอง
• เลือกแจกเงินแทนการสร้างเศรษฐกิจจริง
• เลือกขยายงบขาดดุลโดยไม่ควบคุม ทั้งที่มีเสียงเตือนทั้งจากสภาพัฒน์ฯ และธปท.อย่างต่อเนื่อง ถึงความเสี่ยงในการก่อหนี้สูงกว่า 4% ของจีดีพี 3 ปีงบประมาณติดกัน
• เลือกใช้อนาคตของประเทศเป็นเดิมพันเพื่อคะแนนนิยมระยะสั้น
และเมื่อถึงวันที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ หรือเกิดวิกฤตการค้าเต็มรูปแบบ
พื้นที่การคลังที่ควรเป็น “กันชน” ของประเทศ ก็แทบไม่เหลืออีกต่อไป
⸻
กู้มาแจก ดันเศรษฐกิจไม่ได้
ประเทศเข้าสู่สงครามการค้า แต่กลับไร้พื้นที่การคลัง
และผู้ที่ทำให้ประเทศตกอยู่ในจุดเสี่ยงนี้ คือรัฐบาลแพทองธาร ที่ใช้เงินเพื่อการเมืองจนเกินขอบเขตของความรับผิดชอบทางการคลัง
นี่คือบทพิสูจน์ฝีมือของ “พรรคเพื่อไทย”
ที่คุยโวมาตลอดว่า “เก่งเศรษฐกิจ” ตั้งแต่ยุค “ทักษิณ”
แต่ในความเป็นจริง “ทักษิณ-ไทยรักไทย-พลังประชาชน” จนมาถึง “เพื่อไทย”
ไม่เคยเผชิญหน้ากับวิกฤตเศรษฐกิจจัง ๆ ด้วยตัวเองมาก่อน
ยุคต้มยำกุ้ง มาตอนจบ หลังรัฐบาลชวน 2 กลืนเลือดไปแล้ว
ใช้ “การตลาดนำการเมือง” ตีปี๊บ “ล้างหนี้ IMF”
แต่ในความเป็นจริง “จำนวนเงิน” ที่กู้ลดลงตั้งแต่ “รัฐบาลชวน 2”
วิกฤตแฮมเบอเกอร์ ก็ไม่เคยเจอ เพราะอยู่ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์
“ยิ่งลักษณ์” เข้ามาหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่มาเจอน้ำท่วมใหญ่ปี 54
มาถึงรัฐบาลแพทองธาร ไม่มีทั้งวิกฤตโควิดและเศรษฐกิจ
แต่กู้เพลิน…จนเมื่อวิกฤตมาถึงไม่เหลือพื้นที่ให้ “กู้”
เมื่อถอดคำโว “เก่งเศรษฐกิจ” ออก
ก็เปลือยตัวตนล่อนจ้อน “เก่งแค่ใช้เงิน-สร้างหนี้”
เลิกใช้เงินในอนาคตเพื่อซื้อความนิยมทางการเมือง…เพราะมันแลกมาด้วยอนาคตประเทศที่กำลังจะดับวูบ!
———-