ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีการเปิดเผยข้อมูลจาก เพจ Remrin ซึ่งเป็นเพจของบุคลากรทางการแพทย์ ว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาลหลายแห่งเริ่มดำเนินนโยบาย ถอดยาแผนปัจจุบันบางตัวออก และบังคับใช้ ยาสมุนไพร ทดแทน โดยมีการกำหนดตัวชี้วัด (KPI) บังคับยอดการจ่ายยาสมุนไพรของโรงพยาบาล ถ้าทำไม่ได้ตามเป้า อาจส่งผลต่อการประเมินงบประมาณในอนาคต
ตัวอย่างเช่น
• การใช้ครีมพญายอแทนยาต้านไวรัส Acyclovir
• การใช้มะขามแขกแทนยาระบาย Bisacodyl
• การให้มะขามป้อมแทนยาละลายเสมหะ M.tussis
การเปลี่ยนแปลงนี้ แม้ยังจำกัดวงอยู่ในบางกลุ่มยา แต่สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่แพทย์แผนปัจจุบันที่ต้องรับผิดชอบการรักษาคนไข้โดยตรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพจ Remrin ได้เน้นว่า ความกังวลไม่ได้อยู่ที่ตัวสมุนไพรหรือแพทย์แผนไทย แต่คือการบังคับให้ข้ามสายวิชาชีพโดยไม่สอดคล้องกับความชำนาญ และอาจกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
สมุนไพรไม่ใช่ปัญหา แต่การ “บังคับข้ามวิชาชีพ” ต่างหากที่ควรตั้งคำถาม
เสียงจากหลายฝ่ายชี้ตรงกันว่า
สมุนไพรไทยมีคุณค่าในตัวเอง และควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังในฐานะ “ทางเลือกเสริม” ของระบบสาธารณสุขไทย
.
แต่ปัญหาใหญ่ในครั้งนี้อยู่ที่
การกำหนดนโยบายบังคับให้แพทย์แผนปัจจุบันต้องจ่ายยาสมุนไพร ซึ่งหลายกรณีไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์เพียงพอรองรับ และแพทย์ไม่ได้รับการฝึกฝนเพื่อดูแลสมุนไพรเหล่านี้อย่างถูกต้อง
การใช้ยาต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของ
• ความเข้าใจขนาดยา
• กลไกการออกฤทธิ์
• ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
• และความรู้ลึกเฉพาะทาง
การบังคับให้ข้ามวิชาชีพเช่นนี้ เสี่ยงกระทบความปลอดภัยของคนไข้ และทำลายเสถียรภาพของระบบสุขภาพโดยรวม
จุดยืนที่ควรมีร่วมกัน: ใช้คนให้ตรงกับงาน
ประเด็นสำคัญที่ เพจ Remrin ชี้ให้เห็นคือ
• ให้แพทย์แผนไทยซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร เป็นผู้ดูแลการจ่ายยาสมุนไพร
• ให้แพทย์แผนปัจจุบันสามารถเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมตามมาตรฐานการแพทย์ โดยไม่ถูกจำกัดทางเลือกจากตัวชี้วัดงบประมาณ
การสนับสนุนสมุนไพรควรเกิดขึ้นโดยใช้บุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ตรง ไม่ใช่บังคับให้แพทย์สายอื่นรับผิดชอบในสิ่งที่ไม่ได้เชี่ยวชาญ
อีกด้านที่ต้องคิด: ผลประโยชน์ทับซ้อนกับตลาดยาเดิม
ในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า
การเปลี่ยนมาใช้สมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน อาจกระทบผลประโยชน์ของบางกลุ่ม เช่น บริษัทผลิตยาเดิม หรือระบบจัดซื้อเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาล
แม้บุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการเลือกจ่ายยา แต่โครงสร้างการจัดซื้อและตลาดยาทั้งระบบ ย่อมมีขั้วผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง
เพราะฉะนั้น การพัฒนาและส่งเสริมสมุนไพรต้องตั้งอยู่บนหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ โปร่งใส และคำนึงถึงผลกระทบต่อความปลอดภัยของคนไข้เป็นอันดับแรก
ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนขั้วผลประโยชน์จากกลุ่มหนึ่งไปอีกกลุ่มหนึ่ง
คำถามที่สังคมควรถาม
• นโยบายนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานวิทยาศาสตร์จริงหรือไม่?
• มีการประเมินผลกระทบด้านความปลอดภัยของผู้ป่วยอย่างไร?
• สมุนไพรที่นำมาใช้ทดแทน ได้รับการวิจัยและรับรองในระดับสากลเพียงพอแล้วหรือยัง?
• โครงสร้างการจัดซื้อใหม่จะโปร่งใสกว่าเดิมหรือเป็นเพียงการเปลี่ยนกลุ่มผลประโยชน์?
สมุนไพรไทย: ควรเป็นทางเลือกเสริม ไม่ใช่เครื่องมือทางนโยบาย
การส่งเสริมสมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างจริงจัง แต่ต้องทำโดยยึดหลัก
• การพัฒนางานวิจัย
• การสนับสนุนความเชี่ยวชาญของแพทย์แผนไทย
• การเปิดทางเลือกการรักษาที่เหมาะสม
.
ไม่ใช่การบังคับข้ามวิชาชีพ หรือกำหนดโควตาการรักษาโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่แท้จริง
“การรักษาที่ดีต้องยืนอยู่บนความรู้ ความชำนาญ และหลักฐาน ไม่ใช่ตัวชี้วัดหรือนโยบายเร่งรัด”
หากเราไม่ระมัดระวังในจุดเริ่มต้นนี้
ผลลัพธ์สุดท้ายอาจไม่ใช่แค่ระบบสุขภาพที่สั่นคลอน
แต่คือความเชื่อมั่นของประชาชนที่ถดถอยลงอย่างไม่อาจย้อนกลับได้
⸻
[บทความนี้ต่อยอดและเรียบเรียงจากข้อมูลของเพจ Remrin ]
⸻
หมายเหตุ:
• หากต้องการอ่านข้อมูลต้นทางเพิ่มเติม สามารถค้นหาเพจ “Remrin” ได้ทาง Facebook
• ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลที่ตั้งใจถ่ายทอดประสบการณ์ เพื่อให้สังคมได้ตั้งคำถามอย่างมีสติ