เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์
ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” โดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
⸻
ยื่นเองสามครั้ง เพื่อกอบกู้กระบวนการยุติธรรม
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ เปิดเผยว่า ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา เขาตรวจสอบการทุจริตอย่างต่อเนื่อง และยึดมั่นว่าความยุติธรรมคือเสาหลักของบ้านเมือง การยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไต่สวนกรณี “ทักษิณป่วยทิพย์” จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นการปกป้องระบบยุติธรรมที่กำลังพังทลาย
เขาเล่าว่า ยื่นเรื่องไปแล้วถึงสามครั้ง — 19 ธ.ค. 2566, 15 ก.พ. 2567 และล่าสุด 10 ม.ค. 2568 — ซึ่งศาลฯ นัดอ่านคำสั่งในวันที่ 30 เม.ย. 2568
“ผมรับไม่ได้ที่คนถูกตัดสินทุจริตแล้วไม่รับโทษจริง มันทำลายกระบวนการยุติธรรม เสียหายต่อประเทศชาติอย่างมาก ถ้าไม่มีคนร้อง ผมก็ต้องร้องเอง”
⸻
ทำไมต้องรื้อชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
นายชาญชัยชี้ว่า ทักษิณ ชินวัตร ถูกตัดสินจำคุก 8 ปี ก่อนจะได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี แต่กลับไม่ถูกคุมขังจริงตามคำพิพากษา กลับไปอยู่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ขออนุญาตศาล ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 กำหนด
“จะอ้างกฎกระทรวงที่ขัดกับกฎหมายไม่ได้ ผมขอให้ศาลใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ — คนที่ไม่ได้ติดคุกจริง แต่ยังมีอิทธิพลทางการเมือง ทำให้ประเทศเสียหาย ใครจะเคารพกฎหมาย ถ้าพ่อของนายกฯ ยังไม่เคารพกฎหมาย?”
⸻
กฎหมายอาญา: ศาลมีสิทธิกลับคำพิพากษา
ชาญชัยอธิบายเพิ่มเติมว่า ศาลไม่ได้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ แต่ยึดตามกฎหมายทุกประการ โดยนอกจากมาตรา 246 แล้ว ยังมีมาตรา 248 ที่ศาลสามารถกลับคำพิพากษาได้ในกรณีพิเศษ เช่น กรณีนักโทษหญิงมีครรภ์
“คนยังเข้าใจผิดว่าศาลตัดสินแล้วจบ จริง ๆ ศาลมีอำนาจแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับศีลธรรมและความถูกต้อง กฎหมายอาญาไม่ใช่แค่ศาลใช้ แต่ตำรวจ อัยการ กรมราชทัณฑ์ก็ต้องยึดด้วย — ระเบียบที่ขัดกับกฎหมายถือเป็นโมฆะ”
เขามั่นใจว่าศาลฎีกาซึ่งเต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย จะพิจารณาอย่างรอบคอบ และจะไม่ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมถูกบ่อนทำลาย
⸻
“บ้านเมืองเละเป็นโจ๊ก” เพราะนักการเมืองไม่ยึดประโยชน์ส่วนรวม
ในช่วงท้าย ชาญชัยกล่าวถึงสภาพบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมา
“บ้านเมืองเละเป็นโจ๊ก นักการเมืองทำเสียหายมาก เอาพรรคพวกตัวเองมาก่อน ไม่สนประโยชน์ส่วนรวม ประชาชนต้องรู้ว่าความเดือดร้อนที่เจอ ไม่ใช่ภัยจากภายนอก แต่คือนักการเมืองในสภานั่นเอง พลังประชาชนกับสื่อมวลชนต้องช่วยกันจัดการ”