เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาฯ สมช.
ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” โดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
⸻
เมื่อทักษิณ ชินวัตร ประกาศอาสาดับไฟใต้ในเวลา 1 ปี ภาพที่เกิดขึ้นกลับสวนทางกับความหวังที่วาดไว้ — พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) บอกกับ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ว่า เหตุระเบิดและความไม่สงบกลับทวีความรุนแรงขึ้นนับแต่วันนั้น
“ทุกครั้งที่เกิดเหตุ มักกระโจนข้ามจังหวัด เพื่อให้ครบทั้งสามจังหวัดชายแดนใต้” เขากล่าว พร้อมเสนอว่าถ้าเข้าใจโจทย์จริง ต้องเริ่มจากการกำหนด “พื้นที่ปลอดภัย” เพื่อพิสูจน์ว่า คนเจรจาคือตัวจริง ไม่ใช่แค่ตัวแทน และตามมาด้วยการลดความเข้มข้นของกฎหมายพิเศษ ทั้งกฎอัยการศึก พ.ร.บ.ความมั่นคง และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จำกัดสิทธิประชาชน
“หัวใจสำคัญคือต้องพึ่งพาตัวเอง” พล.ท.ภราดรย้ำ “เรายินดีให้มาเลเซียช่วยอำนวยความสะดวก แต่คนที่ต้องทำคือเราเอง ไม่ใช่หวังพึ่งประเทศอื่น”
นโยบายเลือนลาง–การปฏิบัติสะเปะสะปะ
อดีตเลขาฯ สมช. ยังชี้ให้เห็นปัญหาใหญ่ในเชิงโครงสร้างว่า รัฐบาลชุดนี้มีปัญหาความยุ่งเหยิงในการแก้ปัญหาไฟใต้ เพราะ “คนที่มีบทบาทไม่มีสถานะ” — ทักษิณเข้าไปมีบทบาทโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ขณะที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงที่มีอำนาจโดยตรง กลับไม่ขับเคลื่อนนโยบายอย่างจริงจัง
“ภาพนโยบายจึงมัว ฝ่ายปฏิบัติก็ไม่รู้จะไปทางไหน” เขาอธิบาย “ถ้านโยบายชัด กอรมน.จะได้เอาแผนไปดำเนินการต่อ แต่ตอนนี้สับสน แม้จะพยายามใช้ความสัมพันธ์กับอาเซียนก็ไม่ได้ผล เพราะหัวใจไม่ใช่อยู่ที่เวที แต่คือศักยภาพของคนที่ถืออำนาจ”
เขาแนะนำว่า ทักษิณควรถอยห่างมาเป็นฝ่ายสนับสนุนข้อมูล ไม่ใช่ลงไปขับเคลื่อนเองจนสร้างความสับสน “สองเรื่องที่อาสาเข้าไปแก้ไม่ว่าจะเป็นไฟใต้หรือความขัดแย้งในเมียนมา ล้วนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง”
ข่าวกรองดีเกิดจากใจประชาชน แต่วันนี้ไม่มี
พล.ท.ภราดร ยังเน้นว่า การแก้ไฟใต้ที่แท้จริง ต้องเริ่มจากการได้ใจประชาชน ถ้ามีใจ ข่าวกรองดีจะเกิดเอง แต่ตอนนี้ รัฐบาลกลับเสียศรัทธา เพราะประชาชนยังไม่เห็นความยุติธรรมเกิดขึ้น
“ต้องรีบสร้างความยุติธรรม เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง แล้วใช้พื้นที่ปลอดภัยเป็นโจทย์ในการเจรจา” เขาเสนอ พร้อมระบุว่าผู้นำการเจรจาควรเปลี่ยนจากข้าราชการประจำ เป็นนักการเมือง เช่น พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
“แต่ปัญหาตอนนี้คือ รัฐบาลยังขาดเอกภาพด้านความมั่นคง ประสิทธิภาพจึงไม่เกิด” เขากล่าว
ต้องเปลี่ยนทั้งนโยบายและคน
พล.ท.ภราดร เสนออย่างตรงไปตรงมาว่า ฝ่ายความมั่นคงควรปรับโครงสร้างใหม่หมด โดยเฉพาะบุคคลสำคัญอย่าง ภูมิธรรม เวชยชัย, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และมาริษ เสงี่ยมพงษ์
“ทั้งสามคนควรถูกปรับออก หรืออย่างน้อยก็ไม่ควรทำงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงอีก” เขากล่าว พร้อมอ้างถึงกรณีปัญหาอุยกูร์, การถูกสหรัฐฯ จำกัดวีซ่า และกรณีการจับกุมนักวิชาการสหรัฐฯ ตามมาตรา 112 ซึ่งกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ
ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีเอง พล.ท.ภราดรเห็นว่า “อย่าเพิ่งมายุ่งเรื่องความมั่นคง เอาแค่เศรษฐกิจให้รอดก่อน” เพราะถ้าเข้ามาแล้วบริหารผิด อาจทำให้สถานการณ์ทรุดหนักกว่าเดิม
ข่าวลือ “สุทิน” คัมแบ็ก…คือการซอยเท้าอยู่กับที่
กับกระแสข่าวว่าสุทิน คลังแสง อดีตรัฐมนตรีกลาโหม อาจกลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง พล.ท.ภราดรเห็นว่าไม่ใช่ทางออก
“เป็นการซอยเท้าอยู่กับที่ ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ แถมอาจถอยหลังด้วย เพราะสุทินไม่ได้มีมาตรการเชิงรุกเรื่องความมั่นคงเลย ทำได้แค่ประคองความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายประจำกับฝ่ายการเมืองเท่านั้น” เขาวิเคราะห์
ลากเวลาคือหายนะสองเด้ง
ท้ายที่สุด พล.ท.ภราดรเตือนว่า หากปล่อยสถานการณ์ยืดเยื้อต่อไป จะกลายเป็นหายนะสองเด้ง:
- งบประมาณจะรั่วไหล ทั้งงบประจำและงบฉุกเฉินของหน่วยเฉพาะกิจ
- ความเดือดร้อนของประชาชนจะทวีขึ้น เพราะความไม่ปลอดภัยในพื้นที่จะสูงขึ้นมาก
“ยิ่งลากเวลายิ่งอันตราย ตำรวจและอส.มหาดไทยจะตกเป็นเป้า เพราะมีข่าวว่าทหารจะถอนกำลังออก ฝ่ายตรงข้ามจึงรีบโจมตีอย่างรุนแรง” เขากล่าวทิ้งท้ายอย่างห่วงใย
⸻