โดย The Publisher
—
เมื่ออำนาจ…ไม่ได้แค่สืบทอดโดยเผด็จการ
แต่นักการเมืองก็สยายปีกอำนาจผ่านระบบอย่างแนบเนียน
เราอาจเคยชินกับการโทษรัฐธรรมนูญ 2560 ว่าเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจของ คสช.
เราอาจมองว่า ส.ว. ชุดนี้คือผลพวงของรัฐประหาร
แต่เมื่อมองลึกลงไปใน “ฮั้วเลือก ส.ว. 2567”
คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นอย่างเจ็บแสบว่า…
ใครกันแน่…ที่ใช้ช่องว่างของระบบ เพื่อยืดขยายอำนาจตัวเอง?
ไม่ใช่แค่ทหาร
ไม่ใช่แค่ฝ่ายอนุรักษนิยม
แต่คือนักการเมือง–กลุ่มทุน–เครือข่ายอำนาจท้องถิ่น
ที่รู้จักวิธีเล่นในสนามที่ถูกออกแบบไว้เพื่อควบคุมประชาชน
แล้วสลับบทบาทมาเป็น “ผู้ควบคุม” เสียเอง
⸻
พวกเขาไม่ต้องเคลื่อนรถถัง
ไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ
แค่ “สวมสูท” เดินเข้าห้องประชุม
แล้ววางคนของตัวเองในเครือข่าย “ผู้มีสิทธิโหวต”
จัดทีมสมัครแบบเป็นกลุ่ม คุมโควตาตั้งแต่ระดับอำเภอ
สลับกันโหวต สลับกันแลกคะแนน
ข้างในเป็นระบบ “แชร์คะแนน”
ข้างนอกคือการ “จ่ายค่าจ้าง” เป็นขั้นบันได
– ค่าหัวระดับอำเภอ: 5,000
– ระดับจังหวัด: 10,000
– ระดับชาติ: พุ่งถึง 100,000 บาท
– และหากดันได้ถึง 120 คน…ค่าตอบแทน “เพิ่มเท่าตัว”
นี่คือเครือข่ายที่ควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
เพื่อวางตัว ส.ว. ที่จะมีอำนาจเลือก “ใคร” เป็นนายกฯ
และยกมือ “เห็นชอบหรือคว่ำ” อะไรก็ได้…โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
⸻
ประชาธิปไตยที่ประชาชนไม่มีสิทธิเข้าถึง
แต่กลุ่มทุน–นักการเมือง–ข้าราชการเก่า
กลับเข้าไปได้โดยไม่ต้องเปิดเผย
ไม่ต้องหาเสียง
ไม่ต้องตอบคำถาม
ระบบนี้…ไม่มีเสียงปืน
แต่ก็ไม่ได้มาจากเสียงประชาชน
⸻
เรามองว่ารัฐธรรมนูญ 60 คือมรดกของเผด็จการ
แต่อาจลืมไปว่า…
คนที่ใช้มันได้คล่องที่สุด อาจไม่ใช่ทหาร
แต่คือนักการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้ง
พวกเขาเพิ่มอำนาจต่อรอง
สร้างดุลการเมืองใหม่ เพื่อสยายปีกครอบงำ
คุมองค์กรอิสระได้ ก็มีแต้มต่อเหนือการตรวจสอบ
คุมสภาสูงได้ ก็มีช่องทางถอดถอนง่ายขึ้น
แม้แต่พรรคแกนนำ…ก็ยังต้องค้อมหัวให้
แต่น่าเสียดาย…
เมื่อได้อำนาจแล้ว
กลับไม่มีใครคิดจะ “ค้อมหัว” ให้ประชาชน
—