โดย The Publisher
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
—
ใต้เริ่มเดือดอีกครั้ง
เสียงระเบิดที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ดังขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณร้ายที่กำลังก่อตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือ ผลพวงจากนโยบายที่ไร้ทิศทาง – การเมืองที่ก้ำกึ่ง – และการเข้ามามีบทบาทอย่างไม่เป็นทางการของ “ทักษิณ ชินวัตร”
“ความรุนแรงเคยลดระดับลง แต่กลับปะทุขึ้นอีก เพราะรัฐไม่มีทิศทางแน่นอน ฝ่ายความมั่นคงเหมือนไม่มีแม่ทัพ การเมืองในพื้นที่ขาดคนควบคุม และทักษิณกลับเข้ามาแทรกด้วยการผลักให้มาเลเซียมีบทบาทในการเจรจาสันติภาพ”
การประกาศ “จะดับไฟใต้ภายในปีนี้” หรือ “คลี่คลายภายใน 7 วัน” กลับกลายเป็นชนวนเร่งให้ฝ่ายก่อเหตุเคลื่อนไหวตอบโต้ เพราะไม่ไว้วางใจว่ารัฐจะเดินหน้าแบบไหน ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐสับสน ไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจกำหนดนโยบายจริง
—
ทักษิณ…ช่วยหรือซ้ำเติม?
การที่อดีตนายกฯ เข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการพูดคุยสันติภาพ ส่งผลให้หลายฝ่ายไม่มั่นใจ และกระทั่งฝ่ายก่อเหตุก็เคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น เพราะไม่แน่ใจว่าการที่มาเลเซียร่วมโต๊ะจะเป็นผลดีหรือผลร้ายกับพวกเขา
“เขากังวลว่ามาเลเซียจะกดดันผู้นำของเขาหรือไม่ และเกิดสุญญากาศว่าใครกันแน่กำกับกระบวนการเจรจา เพราะแม้แต่ สมช. ก็ยังทำหน้าที่ผิดบทบาท ออกแถลงการณ์ราวกับเป็น NGO ทั้งที่ควรลงมือจัดการในเชิงยุทธการมากกว่า”
ไม่เพียงแต่การขาดทิศทาง แต่ยังเกิดความสับสนว่าฝ่ายการเมืองคนใดกำกับนโยบาย มีรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองในพื้นที่ออกมาพูดถึง “เขตปกครองตนเอง” โดยไม่มีการกลั่นกรองระดับรัฐบาลกลาง
—
ต้องลงมือ ไม่ใช่แถลงข่าว
อาจารย์ปณิธานเสนอให้ ยกระดับบทบาทรัฐแบบเป็นทางการ—ไม่ใช่ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เข้าไปพูดแล้วสร้างความปั่นป่วน
“ถ้าทักษิณจะมีบทบาทจริงก็ควรให้มีตำแหน่งชัดเจน หรือถอยออก เปิดทางให้ผู้มีอำนาจโดยตรงทำงาน จะได้ประเมินได้ชัดเจนว่าปัญหาอยู่ตรงไหน”
เขาเสนอให้จัดระบบใหม่ นำอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคนมาร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการ รายงานต่อ ครม. และประชาชนอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่ใช่การสื่อสารแบบคลุมเครือ
—
รุ่นใหม่…กำลังกลับมาพร้อมอาวุธ
สถานการณ์ในภาคใต้ที่ปะทุขึ้นต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือน เป็นสัญญาณอันตราย—ไม่ใช่แค่การตอบโต้เฉพาะกิจ แต่คือการกลับมาของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับความรุนแรงตลอดชีวิต
“กลุ่มวัย 20–30 ปี กลับมาก่อเหตุเชิงสัญลักษณ์ แม้ไม่ครอบคลุมทั้งพื้นที่ แต่จะรุนแรงกว่าเดิม มีการฝึก มีอาวุธ พร้อมปฏิบัติการ”
รัฐบาลต้องเร่งปิดช่องว่าง ทั้งในเชิงนโยบาย การประสานกับมาเลเซียให้จริงจังเรื่องชายแดน และต้องกลับมาดูแล “กลุ่มเปราะบาง” ที่กลายเป็นเป้าหมายของความรุนแรง เพราะหากประชาชนรู้สึกว่ารัฐปกป้องไม่ได้ ความร่วมมือก็จะหายไปทันที
—
ตาเมือนธม…เสี่ยงเสียดินแดน?
นอกจากชายแดนใต้ที่ลุกเป็นไฟ ชายแดนไทย–กัมพูชาก็ร้อนระอุไม่แพ้กัน โดยเฉพาะกรณี ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอาจารย์ปณิธานชี้ว่า เสี่ยงต่อการ “เสียดินแดนเชิงปฏิบัติ” เพราะกัมพูชาเดินหน้า “สร้างถนน – นำกำลัง – ทำกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์” และเข้าไปครองพื้นที่ก่อนที่กระบวนการเจรจาจะจบ
“การถอยกำลัง 5 กม. ตาม MOU ปี 43 เป็นเรื่องพูดง่ายทำยาก เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอย และกัมพูชาก็ไม่น่าจะยอมง่าย ๆ เนื่องจากมีปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศอยู่ด้วย”
ยิ่งสถานการณ์การเมืองภายในกัมพูชาไม่มั่นคง ฝ่ายรัฐบาลถูกโจมตีจากฝ่ายค้านเรื่องดินแดนมากขึ้น โอกาสที่จะได้ข้อยุติแบบสมดุลก็ยิ่งริบหรี่ลงทุกที
—
ถ้ายังนิ่ง…ความรุนแรงอาจมากขึ้น
อาจารย์ปณิธานทิ้งท้ายว่า ความท้าทายของฝ่ายความมั่นคงวันนี้ ไม่ได้มีแค่ไฟใต้—แต่ ไฟจากทุกแนวชายแดน กำลังคุกคามเสถียรภาพของรัฐไทย
“ถ้าการปรับ ครม. เปลี่ยนผู้กำกับนโยบายด้านความมั่นคงยังไม่เกิด รัฐก็ต้องเริ่มตั้งหลักระหว่างนี้ สร้างความพร้อมของกำลังชายแดนทั้งระบบ เพราะตอนนี้ปัญหาความมั่นคง ไม่ได้อยู่แค่ที่ ‘ใต้’…แต่อยู่ ‘ทุกจุด’ ที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ”
—