เหตุการณ์ระทึกขวัญล่าสุดที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ตอกย้ำถึงปัญหาการควบคุมอาวุธปืนในสังคมไทยอีกครั้ง เมื่อชายคลุ้มคลั่งพร้อมอาวุธปืน ก่อเหตุวุ่นวายตั้งแต่ช่วงดึกในพื้นที่อำเภอแม่ระมาด ก่อนจะขับรถมาถึงอำเภอแม่สอด จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องประกาศปิดการจราจรบริเวณปั๊มน้ำมันหน้าเทศบาลนครแม่สอด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
รายงานระบุว่า ชายรูปร่างอ้วนขับรถกระบะสีดำ ปรากฏตัวพร้อมอาวุธปืนบริเวณร้านยำปูดองหน้าปั๊มน้ำมัน สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้น ก่อนหน้านี้ ยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชายคนดังกล่าวใช้อาวุธปืนยิงบริเวณหน้าตู้ห้วยบง อำเภอแม่ระมาด ทำให้เกิดคำถามถึงการเคลื่อนไหวและการควบคุมตัวผู้ก่อเหตุที่ไม่สามารถทำได้อย่างทันท่วงที จนกระทั่งสถานการณ์ลุกลามมาถึงใจกลางอำเภอแม่สอด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สอด ต้องตัดสินใจปิดถนนหน้าสามแยกเทศบาลนครแม่สอด และประสานหน่วยทหารราชมนูเข้าสนับสนุนภารกิจ ก่อนจะสามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุและนำส่งโรงพยาบาลได้ในที่สุด
กรณีเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในสังคมไทย ที่ผู้มีอาวุธปืนในครอบครองไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และนำไปสู่เหตุกราดยิงที่สร้างความสูญเสียและความหวาดกลัวให้กับประชาชน คำถามเดิม ๆ จึงถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งว่า เหตุใดอาวุธปืนจึงยังคงสามารถเข้าถึงได้ง่ายดาย และหากผู้ครอบครองเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีอารมณ์รุนแรง หรือผู้ป่วยจิตเวช เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีทางป้องกันได้อย่างไร
คำถามที่ว่า “เราๆ ท่านๆ ต้องดูแลตัวเอง พึ่งรัฐไม่ได้แล้วหรือ?” กลายเป็นเสียงสะท้อนที่ดังขึ้นอย่างน่ากังวล
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งบทเรียนราคาแพงที่สังคมไทยต้องทบทวนอย่างจริงจังถึงมาตรการการควบคุมอาวุธปืน การอนุญาตให้บุคคลครอบครองอาวุธปืน ควรเข้มงวดและรัดกุมกว่านี้หรือไม่? ควรตรวจสอบสภาพจิตใจของผู้ขออนุญาตและผู้ครอบครองอาวุธปืนอย่างสม่ำเสมอหรือไม่? ที่สำคัญที่สุด เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญอีกกี่ครั้ง กว่าที่สังคมไทยจะสามารถหามาตรการที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในการควบคุมอาวุธปืนได้อย่างแท้จริง เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและไร้ความกังวล?