บทความโดย The Publisher
วันที่ 7 พฤษภาคมนี้ อาจเป็นอีกวันประวัติศาสตร์ของ บอร์ด กสทช. ที่ประชุมเตรียมพิจารณา สองวาระร้อน ซึ่งเต็มไปด้วยข้อกังขาในด้าน ความชอบธรรมและผลประโยชน์ทับซ้อน และอาจสะท้อนถึงเกมอำนาจภายในองค์กรที่ซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้งด้วย
——-
- วาระต่อสัญญานายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล
รองเลขาธิการสายยุทธศาสตร์ฯ ที่อยู่ในตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2563 และรักษาการเลขาฯ ในปีเดียวกัน ครบสัญญา 5 ปีไปในวันที่ 30 เมษายน 2568
ประเด็นอยู่ที่…
กระบวนการแต่งตั้งให้เป็นพนักงานประจำ ซึ่งควรจะต้องผ่านความเห็นชอบของบอร์ด กสทช. กลับเกิดขึ้นจากการลงนามของ “สุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน” ที่รักษาการเลขาฯ ชั่วคราวเพียง 5 วัน โดยไม่ผ่านที่ประชุม กสทช. ก่อนจะมีการขอยกเลิกคำสั่งในภายหลัง อ้างว่า “ไม่มีอำนาจตามระเบียบ”
ที่หนักกว่านั้นคือ…
นายไตรรัตน์ ก็ลงนาม “ต่ออายุ” ให้ “สุทธิศักดิ์” ในเวลาต่อมา เหมือนผลัดกันเกาหลัง!
นี่คือกรณี “ลงนามให้กันและกัน“ โดยอ้างอำนาจ ”รักษาการเลขาธิการฯ“ ไม่มีมติบอร์ดรองรับ
กรณีนี้ไม่เพียงเกิดคำถามประเด็นอาจขัดต่อระเบียบ กสทช. พ.ศ. 2565 เท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาจริยธรรม และความโปร่งใสของ สำนักงาน กสทช. ด้วย
และที่ต้องไม่ลืมคือ…ผู้ลงนามให้ไตรรัตน์ ”รักษาการ“ ยาว 5 ปี ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. คนปัจจุบัน
การสรรหาเลขาฯ กสทช. ที่เป็นไปด้วยความล่าช้า ยังเป็นปมร้อนที่มีการส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ป.ป.ช. ตรวจสอบด้วย
นี่คือความพิลึกพิลั่น….ที่เกิดขึ้นใน กสทช. ยุคที่ ศ.คลินิก นพ.สรณ เป็นประธานบอร์ดฯ
———
- ทรูยื่นหนังสือค้าน “พิรงรอง”
หนังสือจากบริษัททรู คัดค้านให้ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูตร กสทช. ร่วมพิจารณาวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรู ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือพิรงรอง เป็นคู่กรณีกับเฉพาะทรูไอดีเท่านั้น แต่กลับเหมารวมทั้งเครือว่า ห้ามพิจารณาในทุกวาระที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทรูทั้งหมด โดยอ้างว่ามีสภาพร้ายแรงตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
ข้อสังเกตคือ:
• ทรูพยายาม “ตีตรา” ว่าพิรงรองเป็นคู่กรณี ทั้งที่ความเกี่ยวพันอยู่เพียงกับ ทรูไอดี ไม่ใช่ทุกบริษัทในกลุ่มทรู
ก่อนหน้านี้ ประธาน กสทช.ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช. พิจารณาโดยไม่ผ่านบอร์ด ซึ่งอนุฯ ประชุมไปเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยยังไม่มีมติเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่งกลับมาให้บอร์ด กสทช.พิจารณา เพราะการส่งให้อนุฯ กระทำผิดขั้นตอน เนื่องจากยังไม่ผ่านบอร์ด เป็นการดำเนินการโดยประธานฯ
แต่แม้ว่าอนุฯ จะยังไม่ได้เคาะประเด็นนี้ ก็มีการถกกันได้ข้อสรุปในประเด็นหลักว่า…
- ยังไม่มีผู้ร้องคัดค้านที่เป็นคู่กรณีโดยตรง
- สภาพร้ายแรงตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ต้องมีข้อเท็จจริงจำเพาะ
- การโต้แย้งหรือคัดค้านต้องเป็นคู่กรณีที่มีส่วนได้เสียโดยตรง
ซึ่งอนุฯ นัดหารือต่อในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งเท่ากับยืดเวลาออกไป ให้ กสทช. จัดการกันเองในการประชุมวันที่ 7 พฤษภาคม
มติจะเป็นอย่างไรต้องลุ้น เพราะต้องใช้เสียงสองในสามของกรรมการที่เหลือ เนื่องจาก ”พิรงรอง“ ไม่สามารถอยู่ร่วมพิจารณาวาระนี้ได้
ในสภาวะที่บอร์ด กสทช. แตกร้าว มีเงากลุ่มทุนทะมึนให้เห็น
ข้อกังวลที่ตามมาคือ…กติกาอาจถูกบิดเพื่อกีดกันผู้ที่กล้า ”ตรวจสอบ“ เอกชนรายใหญ่หรือไม่
⸻
ข้อครหาแรง: กสทช.กำลังแปรสภาพเป็นเครื่องมือของทุน?
การประชุมครั้งนี้จึงอาจเป็นเครื่องชี้วัดว่า บอร์ด กสทช. จะยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ หรือจะปล่อยให้กลไกภายในถูกบิดเบือนเพื่อปกป้อง “คนกันเอง” และกลุ่มทุนรายใหญ่
7 พ.ค. จับตาให้ดี
ใครจะได้ไปต่อ ใครจะถูกกันออก
และใคร…กำลังใช้ระบบเพื่อผลประโยชน์เฉพาะตน?
⸻