“รัฐบาลถอยแจกเงินดิจิทัล แต่ยังไม่ฟังพอ… ถ้าไม่ปฏิรูปภาษีให้คนรวยจ่ายมากขึ้น”—ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง TDRI
โดย The Publisher—เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร“
——-
“ดีแล้วที่ถอย… แต่ยังไม่พอ”
คือประโยคสั้น ๆ แต่ทิ่มใจ ที่ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง จาก TDRI เอ่ยในรายการ เที่ยงเปรี้ยงปร้าง ขณะพูดถึงนโยบาย “แจกเงินดิจิทัล” ของรัฐบาลภายใต้การนำของแพทองธาร ชินวัตร ที่เพิ่งชะลอไปแบบไม่มีกรอบเวลาชัดเจน
เขามองว่า การตัดสินใจชะลอโครงการนี้ แม้จะสายเกินไป แต่ก็ยังดีกว่าเดินหน้าต่อให้เปลืองงบประมาณ เพราะทั้งสองเฟสที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า “ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง” และในยามที่โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า สิ่งที่รัฐบาลควรทำไม่ใช่แจกเงิน แต่ต้องหันไป เตรียมเครื่องมือไว้รับมือ และ เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อย่างจริงจัง
แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับเดินหน้าอีกนโยบายที่ถูกวิจารณ์ไม่แพ้กัน คือ การเก็บภาษี VAT 1% จากผู้ประกอบการรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งแม้ ดร.สมชัย จะเห็นข้อดีที่ว่า “ช่วยดึงธุรกิจเข้าระบบภาษี” โดยเฉพาะกลุ่มที่จงใจเลี่ยงภาษีด้วยการไม่ให้รายได้เกินเพดาน แต่เขาก็ย้ำว่าต้องมองอีกด้านด้วยว่า “จะเพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก”
“ร้านก๋วยเตี๋ยวรายได้ดี ๆ หรือหาบเร่แผงลอยที่ขายดีมาก แต่ไม่ได้เข้าระบบภาษี ถ้าเราเก็บจากกลุ่มรายย่อยที่อยู่ในระบบอยู่แล้ว โดยที่อีกฝั่งยังหลุดจากระบบอยู่ ก็ไม่เป็นธรรม”
คำถามสำคัญคือ…ทำไมรัฐไม่เริ่มเก็บจากคนรวยก่อน?
ดร.สมชัยย้ำว่า การปฏิรูปภาษีควรจัดการกับช่องโหว่ที่คนรวยเสียภาษีน้อย หรือใช้เลี่ยงภาษีก่อน เช่น ภาษีดอกเบี้ยและเงินปันผลที่แยกคำนวณออกจากภาษีบุคคลธรรมดา ทำให้จ่ายเพียง 10-15% แทนที่จะเป็น 17% ซึ่งเป็นการลดภาษีให้คนมีเงินไปโดยปริยาย
“เจ้าสัวหลายคนเสียภาษีน้อยกว่าที่ควรจะเสีย และยังมีเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เลี่ยงกันได้ง่าย ๆ หรือภาษีลาภลอยที่ควรจะเก็บจากคนที่ได้กำไรจากที่ดินเพราะรัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อคืนประโยชน์กลับให้รัฐ”
สำหรับดร.สมชัย เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความเป็นธรรมทางภาษี แต่เป็นเรื่อง การหารายได้ของรัฐที่ไม่ทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยเดือดร้อน
⸻
นอกจากเรื่องภาษี เขายังชี้ให้เห็นว่า การจัดงบประมาณของไทยยังมี “ไขมันส่วนเกิน” จำนวนมาก แตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่กำลังปฏิรูประบบราชการอย่างจริงจัง ทั้งการลดจำนวนกระทรวง และปลดข้าราชการถึงแสนตำแหน่ง เพื่อให้รัฐทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
ในขณะที่ไทยยังทุ่มงบประมาณกับการปรับปรุงอาคารรัฐสภาเกือบพันล้านบาท หรือใช้งบแบบไร้ประสิทธิภาพในโครงการรัฐอีกมากมาย เช่น อาคาร สตง. ที่มีการจัดซื้อวัสดุราคาแพงโดยไม่มีคำอธิบาย
“ถ้าเราขจัดคอร์รัปชันได้ ใช้งบให้คุ้มค่า ก็จะมีงบพัฒนาประเทศเพิ่มเติมโดยไม่ต้องขึ้นภาษีที่ทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยลำบาก”
สุดท้าย ดร.สมชัยยังแสดงความเป็นห่วงต่อเศรษฐกิจภาพใหญ่ โดยเฉพาะการที่ เงินเฟ้อเดือนเมษายนติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 13 เดือน ซึ่งสะท้อนกำลังซื้อที่ลดลงอย่างหนัก
“ถ้าเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง เศรษฐกิจเติบโตต่ำมากหรือถึงขั้นติดลบ เราอาจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดได้ และจะยิ่งแย่ลงถ้าสงครามการค้ารุนแรงขึ้น”