ในขณะที่รัฐบาลแพทองธารเผชิญกับมรสุมรุมเร้าด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ดันเศรษฐกิจโตไม่ได้ หนี้พอก ไร้แผนชัดเจนรองรับสงครามการค้า ไม่มียุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จัดเก็บรายได้พลาดเป้า
บีบให้รัฐบาลต้องเดินเกมที่สะท้อนความจริงสำคัญข้อหนึ่งออกมา—เงินหลวงเริ่มร่อยหรออย่างน่าตกใจ
และกลยุทธ์ล่าสุดก็คือ “ขยายฐานภาษีคนตัวเล็ก” พร้อม “จัดสมดุลราคาน้ำมันแบบหลอกตัวเอง” ผ่านการลดเพิ่มภาษีสรรพสามิต-ลดส่งเงินเข้ากองทุน ทั้งหมดนี้อาจดูไม่กระทบคนในวันนี้ แต่ กำลังผูกหนี้ล่วงหน้าที่คนไทยต้องชดใช้อยู่ดี
⸻
VAT รายย่อย: เก็บจากคนจนก่อนแตะเศรษฐี
รัฐบาลเตรียมจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อัตรา 1% จากผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท
จากเดิมกลุ่มนี้เคยได้รับการยกเว้นอย่างชัดเจนภายใต้ระบบภาษี
แต่ตอนนี้รัฐบอกว่า—“ถึงคุณจะรายได้น้อย แต่ก็ต้องช่วยแบกรัฐ?”
คาดว่าจะเก็บรายได้กว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี จากมาตรการนี้
ซึ่งอาจดูสมเหตุสมผล หากรัฐ จัดเก็บจากกลุ่มทุนใหญ่ที่เคยหลุดเลี่ยงภาษีได้ก่อน
แต่สิ่งที่ปรากฏคือ—ภาษีหลายประเภทยังเอื้อให้คนรวยหลบเลี่ยงได้
ในขณะที่คนขายของหน้าตลาด อาชีพอิสระขนาดจิ๋ว กลับกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของกรมสรรพากร
นี่จึงกลายเป็นนโยบายที่ไม่อาจเรียกว่า “ภาษีแห่งความเป็นธรรม”
แต่คือ “ภาษีแห่งการหมดทางเลือก” ของรัฐบาลที่หันไปเก็บจากผู้ที่ต่อรองอะไรไม่ได้
ที่สำคัญคือ นายกฯ แพทองธาร เองก็ยังมีปัญหาถูกตรวจสอบกรณีตั๋ว PN กว่าสี่พันล้าน เลี่ยงภาษีรับให้ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท !
จนถึงตอนนี้ยังไม่ต้องจ่ายภาษี…เพราะยังไม่ชำระหนี้
กำหนดใช้หนี้คืน…ให้รัฐได้ภาษีที่ควรได้ ยังต้องรอไปปีหน้า!
⸻
ขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน–ลดส่งเงินเข้ากองทุน: เกมตัวเลขที่ยืดได้ถึงกันยายน
อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด
พร้อมลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันในอัตราเท่ากัน
เพื่อไม่ให้ “ราคาหน้าปั๊ม” เปลี่ยนแปลง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ “ความมั่นคงทางการเงินของกองทุน”
ปัจจุบัน กองทุนน้ำมันติดลบรวม 47,779 ล้านบาท
• บัญชีน้ำมันติดลบ 2,540 ล้านบาท
• บัญชี LPG ติดลบ 45,239 ล้านบาท
รายรับที่เคยได้จากการส่งเงินเข้ากองทุนอยู่ที่ 393.97 ล้านบาทต่อวัน
แต่หลังปรับลดจะเหลือเพียง 344.4 ล้านบาทต่อวัน
รายได้หายไปวันละเกือบ 50 ล้านบาท
และทั้งหมดนี้คือแผน “ยืดเวลา” ไม่ให้ราคาน้ำมันพุ่ง
เพื่อรอดจากแรงกระแทกทางการเมืองไปจนถึง สิ้นปีงบประมาณ 2568 (สิ้นกันยายนนี้)
หลังจากนั้นยังไม่รู้ไปต่ออย่างไร?
⸻
ทั้งหมดนี้คือการบริหารจัดการงบประมาณที่ใช้ “เทคนิคบัญชี” มากกว่าวิสัยทัศน์
เลี่ยงแรงกระแทกจากประชาชนในระยะสั้น
แต่โยนภาระไปสู่อนาคต
หากยังเป็นรัฐบาลชุดเดิม คำถามคือ—จะอุ้มต่อไหม?
และจะอุ้มด้วยอะไร เมื่อกองทุนติดลบหนัก และรัฐยังไม่เก็บภาษีกลุ่มทุนอย่างจริงจัง?
⸻
การคลังร่อยหรอ…ความเชื่อมั่นรัฐ “ร่อแร่”
• ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเสีย VAT
• งบประมาณกลางถูกดึงไปใช้จ่ายทางการเมือง
• แต่ระบบภาษีกลับไม่กล้าแตะกลุ่มทุนใหญ่ที่ถือครองโครงสร้างเศรษฐกิจ
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า
รัฐบาลไม่ได้วางแผนเศรษฐกิจเพื่อเปลี่ยนโครงสร้าง แต่ใช้มาตรการรายวันเพื่อซื้อเวลา…ที่นับวันจะทำให้ศรัทธาเสื่อมถอยมากขึ้น
⸻
เพราะในท้ายที่สุด…ถ้าคนตัวเล็กตัวน้อย ต้องเสียภาษีเพื่อเลี้ยงโครงการรัฐ
แต่คนรวยยังใช้โครงสร้างเลี่ยงภาษีได้เสมอ—ความเปราะบางทางเศรษฐกิจก็เปรียบเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็งที่พร้อมทลายลงมาได้ทุกเมื่อ