เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เห็นตำรวจถูกชายฉกรรจ์รุมทำร้ายกลางหน่วยเลือกตั้ง เพียงแค่ไม่พอใจเพราะถูกเตือนห้ามถ่ายภาพในคูหา
เสียงร้องไห้ของลุงป้าที่ถูกรถบีเอ็มปาดหน้าจนเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นลุงซี่โครงหัก
ทั้งสองกรณีข้างต้นมีจุดร่วมเหมือนกันคือ ผู้ก่อเหตุคือทายาทนักการเมือง บ้านใหญ่ในจังหวัดสงขลาและปทุมธานี
ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจของคนที่รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้เกิดซ้ำ…และก็จบแบบเดิม
จาก ‘พีช’ ถึง ‘กอล์ฟ’…อิทธิพลที่ไม่แคร์สังคม
ข่าว สจ.กอล์ฟ สิรดนัย พลายด้วง ลูกชาย “โกถึก” สมยศ พลายด้วง สส.สงขลา เขต 3พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ต้องหาคดีรุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในคูหาเลือกตั้งสงขลา — กลายเป็นพาดหัวเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 โดยศาลออกหมายจับรวม 7 ราย พร้อมรายงานว่าเกิดเหตุเพราะไม่พอใจที่ตำรวจห้ามถ่ายภาพในคูหา
แต่เบื้องหลังเรื่องนี้ สังคมเริ่มตั้งคำถามที่ลึกกว่านั้น
“ทำไมคนพวกนี้ถึงยังอยู่ในอำนาจ?”
“ใครเลือกพวกเขา?”
ย้อนดูกรณี “น้องพีช” ที่กลายเป็นข่าวกลางเดือนเมษายน 2568 หลังขับ BMW ปาดหน้ากระบะจนลุงป้าเจ็บหนัก
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงนำไปสู่การตรวจสอบจริยธรรมสาธารณะ แต่ยังเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาของ “ความปกติที่ผิดปกติ”
ธุรกิจสีเทา…บันไดสู่อำนาจ
เพราะแม้เกิดเหตุฉาวกลางสังคม แต่ “น้องพีช” ยังชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลธัญบุรี แม่ของเขา ก็ชนะเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี แทนพ่อซึ่งเคยดำรงตำแหน่งก่อนหน้า
พฤติกรรมที่ควรเป็นคำถาม กลับถูกทำให้กลายเป็นเพียง “ข่าวในช่วงเวลาหนึ่ง” แล้วสังคมก็ปล่อยผ่าน… ปล่อยให้ระบบอุปถัมภ์และอิทธิพลในท้องถิ่นตอกย้ำว่าการเลือกตั้ง ไม่ได้แปลว่าคุณธรรมจะชนะเสมอไป
ยิ่งน่าห่วง เมื่อไม่ใช่แค่การใช้อิทธิพลในพื้นที่ แต่ธุรกิจสีเทากำลังคืบคลานเข้าสู่อำนาจ
ก่อนหน้านี้ มีผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล (สท.) พรรคประชาชนถึง 3 ราย ต้องพ้นจากการเลือกตั้ง เพราะพัวพันกับคดียาเสพติด — สะท้อนความจริงที่ว่า
“ธุรกิจผิดกฎหมาย กำลังหาช่องทางเข้าสู่สภาท้องถิ่น-ระดับชาติ”
คำถามที่สังคมต้องไม่เงียบ
พวกเขาอาจเริ่มจากการเมืองท้องถิ่น ซื้อเสียงเล็กน้อย ให้ของบริจาคกับชาวบ้าน แต่เป้าหมายไม่เคยเล็ก — เพราะมันคือ “อำนาจต่อรอง” บนโต๊ะใหญ่ระดับประเทศ
นี่คือระลอกคลื่นที่สังคมไทยต้องจับตา ไม่ใช่แค่กลุ่มอันธพาลเดินเข้าสภา แต่คือองค์กรอาชญากรรมที่แปลงกายเป็นนักพัฒนาเมือง และกำลังจะมี “อำนาจกำหนดทิศทางเมือง-ประเทศ” ด้วยเสียงของเราเอง
เสียงที่อุ้มอันธพาลเข้าสภา
แล้วเราจะอยู่ในสังคมแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน?
- ถ้าคนทำผิดยังได้รางวัลคือ “ตำแหน่ง”
- ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐยังถูกทำร้ายโดยไม่มีใครยับยั้งได้ทัน
- ถ้าผู้มีอิทธิพลยังมีเครือข่ายพาเข้าสภา
- และถ้าประชาชน…ยังลงคะแนนให้คนแบบนี้
เราคงต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า
“อันธพาลการเมืองเติบโตได้…เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ลำพัง”
พวกเขาอยู่กับเครือญาติ อยู่กับพรรค และพวก สำคัญกว่านั้น เขา…อยู่กับ “เสียงของประชาชน”
เสียงที่ควรเป็นพลังต้าน กลับกลายเป็นพลังส่ง และนั่นแหละ…คือบทสะท้อนที่น่ากลัวที่สุดของสังคมไทย