การแถลงของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรเมื่อ 16 มิถุนายน 2568 ที่บ้านพิษณุโลก นับเป็นหนึ่งในคำแถลงที่แข็งกร้าวที่สุดตั้งแต่สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาปะทุ แต่ขณะเดียวกันกลับเผยให้เห็น “ช่องว่าง” สำคัญ ทั้งในแง่จังหวะการตอบสนอง และความชัดเจนต่อข้อกล่าวหาหลักที่สังคมรอฟัง
จุดแข็ง: ภาพลักษณ์แข็งกร้าว จัดทัพสู้ในกรอบรัฐ
1. ตั้ง “ทีมไทยแลนด์”
การแต่งตั้งพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ (บิ๊กเล็ก) รมช.กลาโหม นำคณะเฉพาะกิจ มอนิเตอร์สถานการณ์ชายแดน คือก้าวแรกของการเปลี่ยนโหมด “ตั้งรับ” ไปสู่การจัดระบบเฝ้าระวังอย่างเป็นทางการ
แต่ควรทำตั้งแต่ 28 พ.ค.ที่เกิดเหตุปะทะ ไม่ใช่รอจน 20 วันผ่านไป
ท่ามกลางการประชุม สมช. เมื่อ 6 มิ.ย. และกระแสความกังวลจากสังคม รัฐบาลเพิ่งตั้ง “เจ้าภาพ” ชัดเจนตอนถูกล้อมกรอบไปเกือบทุกด้าน
2. ย้ำไม่รับศาลโลก – เริ่มตั้งทีมสู้เชิงกฎหมาย
แพทองธารแถลงชัดว่า “ไทยไม่ยอมรับกระบวนการศาลโลก” และกำลังตั้งทีมศึกษา MOU43–แนวทางทางกฎหมายเพื่อเตรียมตั้งรับกรณีฮุน เซน ขู่จะยื่นฟ้อง
แต่ยังไม่เห็นการขยับของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่จะสื่อสารเชิงรุกกับนานาชาติ ป้องกันภาพลักษณ์ไทยให้พ้นจากการบิดเบือนโดยกัมพูชา การเคลื่อนไหวยังเป็นแบบ “ตามเสียงวิจารณ์” มากกว่าขับเคลื่อนล่วงหน้า
3. พยายามประคองความสัมพันธ์ – หลีกเลี่ยงการปะทะ
ท่าที “ไม่จุดไฟให้เกิดเรื่อง” เป็นจุดดีในแง่ยุทธศาสตร์ ไม่เร่งปะทะ สื่อสารชัดว่าเคารพชีวิตประชาชนสองประเทศ มีการหารือหลังไมค์กับฮุน มาเนต และเสนอประชุม RBC (ระดับทหาร) เพื่อคลี่สถานการณ์
แต่การประคองความสัมพันธ์ ไม่ได้หมายถึงการนิ่งเฉยต่อข้อมูลบิดเบือน
ขณะที่ตระกูลฮุนโพสต์กระหน่ำทุกวัน ไทยยังยืนใน “กรอบ” ที่อีกฝ่ายไม่เคารพแบบนับครั้งไม่ถ้วน
4. ย้ำ “รัฐบาล–กองทัพ” เป็นหนึ่งเดียว
นายกฯเน้นย้ำหลายครั้งว่า “รัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหา” และหารือกันทุกครั้งก่อนขยับ ถือเป็นการส่งสัญญาณความมั่นคงภายในให้สาธารณะ
แต่คำถามคือ…แล้วเหตุใดจึงเคยมีท่าทีอ่อนกับกัมพูชาเรื่อง “เปิด–ปิดด่าน”?
เมื่อย้อนกลับไปคำพูดที่ขอให้ “กัมพูชาปรับเวลาให้ตรงกัน” คือสัญญาณอ่อนข้อ ที่ทำให้ทหารด่านหน้าได้แต่ส่ายหัว
จุดอ่อน: สื่อสารช้า – ยังไม่ตอบคำถามหลัก
1. ไม่ชี้แจง “ช่องบก” อย่างหนักแน่น
นายกฯยังไม่เคยพูดชัด ๆ ว่า “กัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยก่อน” ทั้งที่เป็นข้อกล่าวหาหลักที่ฮุน เซน–สื่อเขมรใช้โจมตีไทย
2. ยอมรับ “สื่อสารช้า” แต่โยนผิดให้โซเชียล
นายกฯอ้างว่าสื่อสารล่าช้าเพราะเคารพกรอบทวิภาคี และตำหนิ “การสื่อสารไม่มืออาชีพ” ทางโซเชียลของฝั่งเขมร
แต่ไม่ชี้ว่าฝ่ายไทยใดต้องรับผิดชอบกับความล่าช้านี้
โดยเฉพาะกระทรวงต่างประเทศ ที่ออกแถลงการณ์ช้ากว่าฝ่ายกัมพูชาแทบทุกครั้ง และมักออก “ตามหลัง” ไม่ใช่ “พร้อมกัน” หรือ “ก่อนหน้า”
3. ไม่มีคำตอบเรื่องแถลงการณ์ร่วม JBC
กล้าพูดว่า “JBC สำเร็จ” ทั้งที่สังคมเห็นชัดว่า จบไม่สวยแถลงการณ์ไปคนละทาง “ตามเกมไม่ทัน” ถูกอีกฝ่ายชิงพื้นที่สื่อ ไร้คำตอบทำไมไม่สามารถทำให้กัมพูชามาออกแถลงการณ์ร่วมกันได้ และจะใช้กลไกนี้ให้มีประสิทธิภาพต่อไปได้อย่างไร?
4. เลี่ยงประเด็นฮุน เซนพูดแข็งกร้าว – ช้าไปหลายวัน
นายกฯบอกเพิ่งส่งข้อความถึงฮุน มาเนตหลังเกิดโพสต์ของฮุน เซน ซึ่งใช้ถ้อยคำรุนแรง เช่น ขู่ปิดด่านทุกจุด แต่ฝ่ายไทยเพิ่งมีปฏิกิริยาช้าไปหลายวัน
สะท้อนถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่อาจอยู่ในโหมด “เกรงใจ” มากกว่าจะเป็นช่องทางที่ใช้แก้ปัญหา
และทำให้ประชาชนตั้งคำถามว่า “สายสัมพันธ์ลึกระหว่างสองตระกูล” จะเป็นเกราะป้องกัน หรือกลายเป็นจุดอ่อนเชิงอธิปไตย
แข็งภายนอก แต่เปราะที่จุดสำคัญ
นายกฯแพทองธารเริ่มเปลี่ยนโทนสื่อสารให้แข็งแรงขึ้น ใช้คำที่ฟังดูมั่นใจขึ้น และแสดงความชัดเจนบางประเด็น เช่น การไม่ยอมรับศาลโลก การร่วมมือกับกองทัพอย่างใกล้ชิด ฯลฯ
แต่คำถามสำคัญกลับยังไม่ได้รับคำตอบ
ไทยถูกยิงหรือไม่? เขมรรุกล้ำหรือเปล่า? ทำไมถึงไม่มีแถลงการณ์ร่วม?
หรือแม้แต่เรื่องง่าย ๆ ว่าคนไทยควรเข้าใจอะไรจากโพสต์ของฮุน เซน ก็ยังไม่มีคำตอบจากปากผู้นำ
ถึงเวลามี “โฆษกสงครามข่าวสาร” ไม่ใช่แค่โฆษกรัฐบาล
การสื่อสารในศึกชายแดนยุคนี้ ไม่ใช่เพียงการชี้แจงหลังประชุม แต่ต้องวางยุทธศาสตร์ “รุกข้อมูล” สื่อสารก่อน ดักเกมให้ทัน และมีโครงสร้างที่ทำงานเร็ว–แม่นยำ–กล้าชน
เพราะในสงครามข้อมูล”ใครชิงพูดก่อน มักเป็นฝ่ายได้เปรียบ”
และในเกมชายแดน…ไทยไม่มีเวลาหรู ๆ ให้ “รอประชุมก่อน” อีกต่อไป.
#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #กองทัพไทย #รัฐบาลแพทองธาร #ศาลโลก #JBC #ศาลโลก #ชายแดนไทยกัมพูชา #สัมพันธ์ไทยกัมพูชา

