นับตั้งแต่สงครามการค้าระลอกใหม่เริ่มต้น รัฐบาลไทยดูจะใช้ความนิ่งเป็นกลยุทธ์หลัก
แทบไม่มีคำเตือนต่อสาธารณะถึงแรงกระแทกที่จะมาถึง
ทั้งที่ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรีออกมาแถลงเตือนประชาชนตั้งแต่วันแรก ๆ
แม้จะเป็นประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ แค่ร้อยละ 10
ในขณะที่ไทยโดนเก็บสูงถึงร้อยละ 36—แต่กลับยังไม่มีคำเตือนหรือความเคลื่อนไหวใดจากผู้บริหารประเทศ
ผ่านมาเกือบสองเดือน รัฐบาลยังคงพยายามส่งสัญญาณว่า
“ไม่ต้องตื่นเต้น”
“สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม”
“จะมีมาตรการรองรับ”
แต่ไม่เคยลงลึกถึง “ความเสียหายที่เป็นรูปธรรม” หรือแผน “เจรจาทางการค้า” กับสหรัฐฯ ที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
กระทั่งวันที่ 19 พฤษภาคม 2568
เสียงเตือนที่จริงจังที่สุดไม่ได้มาจากทำเนียบรัฐบาล
แต่จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
⸻
สภาพัฒน์พูดตรง–ไม่แต่งภาพสวย
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ แถลงจีดีพีไตรมาสแรกปี 2568
เศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่อเนื่อง 3.1%
แต่เขาเตือนชัดว่า ตัวเลขนี้เป็นภาพหลอกก่อนพายุ
เพราะเกิดจากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี
และช่วงเวลาหลังจากนี้จะเริ่มเจอกับ
- ความผันผวนทางการค้า
- ความไม่แน่นอนด้านการลงทุน
- อัตราแลกเปลี่ยนที่สั่นคลอน
- และผลกระทบที่กระจายทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ
“ขอให้ทุกคนระมัดระวัง ทั้งการดำเนินชีวิตและการดำเนินธุรกิจในช่วงถัดไป เพื่อที่จะทำให้เราทุกท่านผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้”
– นายดนุชา พิชยนันท์
⸻
คำเตือนที่ชัดเจน แต่ไม่ใช่จากรัฐบาล
นี่คือคำเตือนระดับชาติที่ควรออกจากปากผู้นำรัฐบาล
แต่กลับเป็นหน่วยงานเศรษฐกิจที่ต้องลุกมาพูดแทน
ขณะที่รัฐยังคงประคองภาพว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
และยิ่งน่ากังวลกว่านั้นคือ
เราไม่รู้เลยว่า รัฐบาลไทยมีแผนรับมือเชิงรุกอะไรกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
เพราะไม่มีแม้กระทั่งคำแถลงใด ๆ ว่าจะเริ่มเจรจาเมื่อไร
⸻
เตือนประชาชนเต็มเสียง…ส่งสัญญาณถึงรัฐบาลเบา ๆ
สิ่งที่น่าสังเกตคือ
ขณะที่เลขาฯ สภาพัฒน์เตือนประชาชนและภาคธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา
“ระมัดระวังการดำเนินชีวิตและธุรกิจในช่วงถัดไป”
“เตรียมตัวรับมือความผันผวน”
ในอีกด้านก็เหมือนสภาพัฒน์ฯ เตือนรัฐบาลเบา ๆ แม้ไม่ส่งเสียงว่า
ควรระมัดระวังการใช้จ่ายภาครัฐ ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเปราะบาง
นี่คือสัญญาณให้รัฐ “คิดก่อนแจก”
และอย่าผลักภาระหนี้ให้ประชาชนในอนาคต
ที่ก็ต้องระมัดระวังการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว
ถ้ารัฐบาลยังสุรุ่ยสุร่าย…ก็คงเกินเยียวยา
———-
วิกฤตไม่ใช่แค่เศรษฐกิจ แต่คือการนิ่งเฉยของผู้นำ
วิกฤตครั้งนี้อาจไม่รุนแรงที่สุดในแง่ตัวเลข
แต่คือหนึ่งใน “วิกฤตการสื่อสาร” ที่เงียบที่สุดในรอบหลายปี
เพราะรัฐบาลที่ควรส่งสัญญาณ…กลับปล่อยให้ประชาชนเดาเอาเองว่าจะเกิดอะไรขึ้น
โชคดีที่ยังมีเสียงจากเทคโนแครทกล้าเตือน
ในวันที่รัฐบาลเลือกจะนิ่งเงียบ