เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ “ไหม – ศิริกัญญา ตันสกุล”
ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร”
————
ล้มวอลเล็ต : รัฐบาลมาถูกทาง แต่ยังทำไม่พอ
หลังรัฐบาลชะลอ “เรือธง” อย่างโครงการดิจิทัลวอลเล็ต งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทที่เคยจะใช้แจกเงิน 10,000 บาท ถูกดึงกลับมาทำให้คำถามใหญ่เกิดขึ้นทันทีว่า แล้วจะใช้เงินมหาศาลนี้ทำอะไร?
ไหม – ศิริกัญญา ตันสกุล มอง 4 แนวทางที่รัฐบาลเริ่มขยับ—ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, กระตุ้นการท่องเที่ยว, รองรับผลกระทบส่งออก และหนุนเศรษฐกิจฐานราก—ซึ่งเธอมองว่า “มาถูกทางแล้ว”
แต่ฝ่ายค้านไม่หยุดแค่นั้น…
เงินดิจิทัล+ดึงงบกลาง+เงินสะสมท้องถิ่น จับคู่ลงทุนคนละครึ่ง
“เราเสนอเพิ่มอีก 1 แนวทางคือกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งหดตัวมา 4 ไตรมาสติดต่อกัน ต้องสร้างแรงจูงใจ เช่น ลดหย่อนภาษี หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว หรือดิจิทัล”
และเพื่อให้มีเงินเพียงพอในการขับเคลื่อน เธอเสนอให้นำงบกลางฉุกเฉิน 6.6 หมื่นล้านที่ยังเหลือ มารวมกับงบดิจิทัลที่ชะลอออกไปรวมเป็น 2.2 แสนล้านบาท และถ้า “เงินสะสมท้องถิ่น” ที่มีมากถึง 3 แสนล้านมาใช้ร่วมด้วย ก็จะทำให้เม็ดเงินมากขึ้น แต่เชื่อว่าในส่วนนี้ใช้ได้เต็มที่ก็ราว 1.5 แสนล้านบาท และรัฐบาลต้องมีมาตรการจูงใจเช่นจัดงบส่วนกลางเติมครึ่งหนึ่งแบบคนละครึ่ง ก็อาจได้งบเพิ่มรวมแล้วแตะ 4 แสนล้านบาท
“เมื่อเรือธงเจ็บหนัก เราก็ไม่อยากซ้ำเติม ต้องช่วยกันพายฝ่าคลื่นไปให้ได้”
กู้หรือไม่กู้? อยู่ที่ ”แผนใหญ่“ ไม่ใช่แค่กระตุ้นการบริโภค
เมื่อถามว่าหากมีเงินเติมแล้วเกือบสี่แสนล้านบาท ยังต้องกู้เพิ่มหรือไม่?
เธอบอกว่าฝ่ายค้านไม่ขวางการกู้เงิน ถ้าเป้าหมายคือการปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่ถ้าแค่กู้มาแจกแบบเดิม ”ไม่มีทางเห็นด้วย“
“อยู่ที่เป้าหมาย ถ้าจะให้เศรษฐกิจโตเกิน 3% ก็ต้องกู้ หรือถ้าจะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจริงๆ ก็ต้องกู้ แต่ถ้าแค่จะกู้มาแจกเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว แบบนั้นฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย”
ศิริกัญญาย้ำว่าต้องมี “แผนใหญ่” ที่สร้างความเชื่อมั่นระยะยาว ไม่ใช่แค่กระตุ้นรายวัน
งบปี 69 ต้องจัดแบบใหม่ ในวันที่เผชิญมรสุมเศรษฐกิจ
“ไม่มีการปรับเปลี่ยนเลย ทั้งที่สถานการณ์เปลี่ยนไปเยอะมาก”
ฝ่ายค้านเสนอให้ “รีดไขมัน” เช่น งบอบรม ดูงานต่างประเทศ จ้างที่ปรึกษา และที่สำคัญ—งบก่อสร้างอาคารราชการที่เสี่ยงกลายเป็น “ตึกร้าง” แบบที่ สตง. หรือ กสทช. เคยเป็นข่าว
เธอย้ำว่า ต้องเรียงลำดับความสำคัญใหม่ เช่น งบซอฟต์พาวเวอร์ อาจต้องโยกมาเยียวยาผลกระทบจากสงครามการค้าก่อน โดยฝ่ายค้านจะชำแหละงบประมาณ 2569 ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญที่จะมีขึ้นในวันที่ 28-31 พฤษภาคมนี้ โดยหากเป็นไปได้อยากรีดไขมันให้ได้สักแสนล้าน แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของรัฐบาลด้วย เพราะตอนนี้ยังดูเหมือนรัฐบาลยังมึน ๆ อยู่ ไม่รู้ว่าจะเอางบไปทำอะไร ก็เลยจัดแบบเดิม
รัฐบาลยังมึน? หรือเริ่มรู้ตัว?
“ค่อยๆ หายค่ะ หลังเจ็บจากวอลเล็ต ตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าอะไรเวิร์ก อะไรไม่เวิร์ก”
แต่สิ่งที่กังวลคือ การให้หน่วยงาน “กรอกแบบฟอร์ม” เสนอโครงการ แบบเดียวกับที่เคยล้มเหลวตอนกู้เงินโควิด
“เป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะเรามีประสบการณ์เลวร้ายตอนโควิดที่กู้เงินมาให้สภาพัฒน์ให้แต่ละหน่วยงานเขียนโครงการซึ่งล้มเหลว กลายเป็นตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หน่วยงานทำไม่ได้ ทำไม่จบ เปลี่ยนโครงการ เม็ดเงินเกือบห้าแสนล้านบาท สุดท้ายไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้จริง และเกิดการทุจริตคอร์รัปชันอีก จึงต้องมีท็อปดาวน์ด้วยคือ รัฐบาลอยากทำอะไร ไม่ใช่ให้หน่วยงานทำขึ้นมา ไม่เช่นนั้นพัง เจ๊งแน่นอน“
คำเตือนสภาพัฒน์ VS คำเฉลิมฉลองของรัฐบาล
ศิริกัญญายังมองคำเตือนจากเลขาฯ สภาพัฒน์ให้ประชาชนและนักธุรกิจระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ ขณะที่รัฐบาลกลับไม่ส่งสัญญาณเตือนใด ๆ ตรงกันข้ามกลับเฉลิมฉลองว่า จีดีพีไตรมาส 1โต 3.1% และจีดีพีโตกว่า 3% ติดต่อกันสามไตรมาสครั้งแรกในรอบ 7 ปี ”มันไม่ได้มาจากฝีมือรัฐบาลแต่เกิดจากการใช้งบประมาณปี 2567 ล่าช้า ส่วนจีดีพีไตรมาสแรกของปีนี้ก็มาจากคนส่งออกหนีตายเรื่องภาษี โดยมีข้อน่าสังเกตด้วยว่ายอดส่งออกพุ่งแต่การผลิตน้อยแสดงว่ามีการสวมสิทธิรวมอยู่ด้วย ต่อจากนี้จะเห็นการเติบโตอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ สภาพัฒน์ จึงหั่นจีดีพีเหลือแค่ 1.8% ในปีนี้“
ถามตรง: แพทองธาร…บริหารเศรษฐกิจไหวไหม?
“ช่วงที่ลมสงบยังไปไม่ถึงฝั่งเลย พอเจอคลื่นลมแรง เราก็ยิ่งกังวลว่าเธอจะพาเรือไปถึงฝั่งได้ไหม”
เธอมองว่าสถานการณ์การเมืองไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ยุบสภาคงไม่เกิด เปลี่ยนนายกฯ ก็ไม่น่าดีขึ้น จึงเปลี่ยนโหมดมาร่วมมือในบทบาทนิติบัญญัติ
“ตอนนี้ทุกนิ้วชี้มาที่การใช้จ่ายภาครัฐ เพราะเครื่องยนต์อื่นมีปัญหา”
“ฝ่ายค้านพร้อมสนับสนุน ถ้าเห็นว่าแผนจะช่วยประเทศจริง ไม่ใช่แค่การเมืองรายวัน”
และสุดท้าย—มรสุมไหนหนักกว่ากัน? เศรษฐกิจหรือการเมือง?
“ทั้งคู่ค่ะ ถ้าฝั่งการเมืองจบได้ จะช่วยให้รัฐบาลมีสมาธิกลับมาโฟกัสเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดตอนนี้ ทำใจแล้วว่ายุบสภาคงไม่เกิด เปลี่ยนนายกฯ ก็ไม่น่าจะดีขั้น ฝ่ายค้านจึงเปลี่ยนโหมดมาร่วมมือในบทบาทนิติบัญญัติ เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต”
G-Token: Sandbox หรือแค่แหย่ขาเสี่ยงกฎหมาย?
“5 พันล้านเล็กมาก เทียบกับขนาดงบรวม แต่น่าสนใจถ้าใช้เป็น Sandbox ทดลองระบบใหม่ๆ แต่ก็ต้องจับตาว่าจะกลายเป็น Stablecoin หรือไม่ เพราะถ้าใช้งานจริง อาจมีผลต่อระบบการเงิน ต้องระวัง”
ศิริกัญญายังตั้งข้อสังเกตว่า หากรัฐบาลจะทำอะไรที่เสี่ยง ควรแก้กฎหมายให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่ทำไปแล้วปล่อยให้คนตีความ
