เป็นความคืบหน้าคดีวัดไร่ขิงหลังครบ 7 วัน โดยมี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ท. ผู้แทน ปปง. ผู้แทน สตง. และผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาร่วมแถลงข่าว ที่ระบุมุ่งเน้นหยุดยั้งความเสียหาย และการกระทำความผิด ที่เกิดขึ้นกับวัด และประชาชน โดยไม่ให้กระทบความศรัทธาของประชาชนต่อพระพุทธศาสนา และนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ที่มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนา กำหนดมาตรการต่อไป
จากการสอบสวนพบกระบวนการยักยอกเงินวัด ไปกระทำการที่ไม่เหมาะสม ผ่านบัญชีธนาคารนับร้อยบัญชี และไม่ผ่านระบบธนาคารอีก โดยพบเงินหมุนเวียนของสาวคนสนิทอดีตเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี 2559 มีเงินหมุนเวียนกว่า 2 พันล้านบาท และมี 4 ช่องทางรับเงินคือฝากเงินสดเข้าบัญชี รับโอนเงินอดีตเจ้าอาวาส รับโอนเงินจากอดีตพระมหาเอกพจน์ และชายอีกคนหนึ่ง
สำหรับรายได้วัดไร่ขิงในปี 2567 รวม 176 ล้านบาท พบความผิดปกติหลายรายการ ที่น่าจะทำบัญชีไม่โปร่งใส 69 ล้าน เช่นค่าเช่าร้านค้าที่เงินสดมอบให้เจ้าอาวาส เงินกฐิน รายได้จากเช่าวัตถุมงคล ร้านค้าสวัสดิการ และเงินมูลนิธิ รวมถึงเงินที่ไม่ปรากฎหลักฐานทางบัญชีรับ-จ่ายอีก
ขณะที่ ปปง.จะเร่งตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สิน หลังพบความผิดมูลฐานชัดเจน จึงนำเข้าคณะกรรมธุรกรรมพิจารณาต่อไป โดยพบความเชื่อมโยงธุรกรรมเงินสดไปถึงบุคคลอื่นจำนวนมาก จึงตรวจสอบธุรกรรมในวงที่ 1 ก่อนขยายไปวงต่อไป เบื้องต้นมีพระ และฆราวาสพบผู้ต้องสงสัย 10 คน และแปลงเป็นทองคำ และที่ดินหลายแปลง ก่อนตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ผู้กระทำความผิดชุดต่อไป
ขณะที่ตัวแทนสำนักงานพระพุทธศาสนา หลังสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิต จึงนำไปสู่หลักปฏิบัติ 4 ประการคือ 1.ตั้งอนุกรรมการบริหารจัดการระบบบริหารจัดการสาธารณสมบัติของวัด 2. ประสานภารกิจหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแผนบริหารจัดการสาธารณสมบัติของวัด 3. กำหนดหลักเกณฑ์ทำบัญชีวัดให้ได้มาตรฐาน โปร่งใส ตรวจสอบได้ 4.กำหนดนโยบายการรับ โอน บริจาคเป็นบัญขีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมถึงจัดตั้งกองส่งเสริมสาธารณสมบัติของวัด ที่ทำงานตรวจสอบสมบัติวัดเริ่ม 1 มิ.ย.68
จากนั้นได้เปิดคลิปเสียงอ้างเป็นอดีตเจ้าอาวาสคุยกับสาวคนสนิทเรื่องการโอนเงินไปชำระหนี้การพนัน 2 ล้านบาท โดยพบหลักฐานว่าสาวคนสนิทขอเงินเล่นการพนัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่มีหลักฐานชัดว่าอดีตเจ้าอาวาสเล่นการพนันหรือไม่ แต่ถือว่าทั้งคู่ร่วมกันกระทำความผิดสำเร็จแล้ว คืออดีตเจ้าอาวาสยักยอกทรัพย์ของวัด ขณะสาวคนสนิทเป็นผู้ร่วมกระทำผิด อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานชัดว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวมากกว่าวิดีโอคอล