ไล่ไทม์ไลน์การเดินทางอังกฤษที่ไร้ภารกิจสำคัญ แต่เต็มไปด้วยคำถามเรื่องกฎหมายและจริยธรรม
“ถ้าเธอเป็นแค่หลานสาว…เธอจะกอดอา จะรัก จะโพสต์แทนใครก็ไม่มีใครว่า แต่เธอคือ ‘นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย’ – ตำแหน่งที่ไม่มีสิทธิ์เลือกยืนข้างความสัมพันธ์มากกว่ากฎหมาย”
⸻
21–22 พ.ค. 2568: เดินทางอังกฤษ – ไม่พบผู้นำ ไม่ได้มีภารกิจสำคัญ
แพทองธาร ชินวัตร เดินทางเยือนอังกฤษในฐานะนายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 21–22 พฤษภาคม 2568 โดยระบุว่าเป็นภารกิจราชการ แต่กลับไม่ปรากฏกำหนดการพบผู้นำของอังกฤษแม้แต่รายเดียว
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ:
- เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมอาหารไทย (Thai SELECT)
- เยี่ยมชมซูเปอร์สโตร์ ในอังกฤษ,พบผู้บริหารค่ายมวย
ฯลฯ
ทั้งหมดเป็นกิจกรรมในระดับเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ไม่มีเนื้อหาทางการทูตหรือยุทธศาสตร์ระหว่างรัฐเลยแม้แต่น้อย มีแต่คำอ้าง Soft Power แบบกลวง ๆ
⸻
โชว์ภาพคู่กับยิ่งลักษณ์ – นักโทษหนีคดี
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดกลับไม่ใช่ภารกิจเพื่อชาติ แต่เป็นภาพคู่กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาสาว-อดีตนายกฯ ที่ถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 5 ปีในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดทุจริตจำนำข้าวแบบจีทูจี และยังมีหมายจับอยู่ในระบบ
ยิ้มแย้มชื่นมื่น…ไม่มีใครอิจฉากับความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว
แต่ที่เขาตั้งคำถามคือ นายกฯ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
ไม่แจ้งพิกัดนักโทษหนีคดี ผิดมั้ย?
ภาพที่ปรากฏสะท้อนชัดว่า “ความเป็นหลานสาว” มาก่อน “บทบาทผู้นำรัฐบาล” หรือไม่?
⸻
ละเว้นหน้าที่–เสี่ยงผิดอาญา มาตรา 157
เมื่อนายกรัฐมนตรีพบผู้ต้องโทษที่ยังมีหมายจับอยู่ แต่ไม่แจ้งพิกัด ไม่สั่งการ ไม่มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการใด ๆ อาจเข้าข่าย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ระบุว่าเจ้าพนักงานที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
กรณีนี้นายกรัฐมนตรีรู้พิกัดของนักโทษหนีคดี แต่ไม่ดำเนินการสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ อัยการ หรือกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในสายบังคับบัญชาโดยตรง ให้ติดตามนำตัวกลับมา อาจตีความว่าเป็นการละเว้นโดยมิชอบ
โพสต์สนับสนุน “ถูกปล้นความยุติธรรม” – ล้ำเส้นจริยธรรมร้ายแรง
แพทองธารยังแชร์โพสต์ข้อความที่ว่า “ถูกปล้นความยุติธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ใช้ต่อกรณียิ่งลักษณ์ถูกศาลปกครองสูงสุดสั่งให้ชดใช้ 10,028 ล้านบาท จากความประมาทเลินเล่อร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ยับยั้งการทุจริตที่เกิดขึ้นในการระบายข้าวแบบจีทูจี ทั้งที่มีคำเตือนจากทั้งสตง.และป.ป.ช.ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น
การแชร์ข้อความลักษณะนี้ ไม่เพียงสื่อว่าไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลฯ แต่ยังสะท้อนท่าทีของผู้นำฝ่ายบริหารที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ยืนอยู่ข้างผู้ต้องโทษ ไม่ใช่ข้างกฎหมาย
ในฐานะนายกรัฐมนตรี การโพสต์ข้อความเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึก แต่เป็นการกระทำที่ส่อถึง การบั่นทอนความน่าเชื่อถือของศาล และหลักกฎหมายในสังคมประชาธิปไตย
⸻
ผิดจริยธรรมหลายข้อ ไม่ใช่แค่เสื่อม แต่สั่นศรัทธาสาธารณะ
ตามประมวลจริยธรรมฯ พฤติกรรมของแพทองธารอาจเข้าข่ายละเมิดอย่างน้อย 5 ข้อ ได้แก่:
- ข้อ 7 ต้องถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน
- ข้อ 12 ยึดมั่นในหลักนิติธรรม และประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน
- ข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง
- ข้อ 19 ไม่คบหาสมาคมกับคู่กรณี ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่
- ข้อ 24 ดูแลรักษาและใช้ทรัพย์สินของทางราชการอย่างประหยัด คุ้มค่า โดยระมัดระวังมิให้เสียหายหรือสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
ซึ่งตั้งแต่ข้อ 7-19 อยู่ในหมวด 1 ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 27 ว่า หากมีการฝ่าฝืนให้ถือว่า “มีลักษณะร้ายแรง” ส่วนข้อ 24 จะถือว่ามีลักษณะร้ายแรงหรือไม่ ให้พิจารณาถึงพฤติกรรมของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ เจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัตินั้น
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นโดยเจตนา และยังไม่มีคำชี้แจงหรือสำนึกใด ๆ จากผู้นำหญิงของประเทศ
⸻
หลานสาวในตำแหน่งนายกฯ ที่ลืมหน้าที่ผู้นำประเทศ
ถ้าเธอเป็นแค่หลานสาว เธอจะรัก จะคิดถึง จะโอบกอด จะหลั่งน้ำตาให้ผู้ต้องโทษ ก็ไม่มีใครตำหนิ
แต่เมื่อเธอสวมตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ทุกการกระทำย่อมต้องชี้แจง ต้องโปร่งใส ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายและจริยธรรม
เมื่อเธอละเว้นไม่แจ้งพิกัดนักโทษ
เมื่อเธอโพสต์สนับสนุนวาทกรรมต้านคำพิพากษาศาล
เมื่อเธอใช้งบหลวงเพื่อแฝงวาระส่วนตัว
บ้านเมืองนี้ยังจะเเรียกเธอว่า “ผู้นำประเทศ” ได้อีกหรือ?