แม่สายเจอน้ำป่าซัดซ้ำอีกครั้ง
บ้านพัง รถจม ถนนขาด และชาวบ้านไม่รู้มาก่อนสักวินาทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นี่คือปีที่ 3 ติดต่อกัน ที่น้ำจากฝั่งเมียนมาไหลทะลักเข้าท่วมเขตเศรษฐกิจของอำเภอแม่สาย
แต่น่าเศร้ายิ่งกว่า…คือคำว่า “ไม่มีการเตือนล่วงหน้า” ยังคงเป็นประโยคเดิมทุกปี
⸻
ย้อนดูไทม์ไลน์แห่งความล้มเหลว
• ปี 2566 (พ.ค.): น้ำหลากกลางดึก–ดินโคลนพัด ร้านค้า–บ้านเรือนได้รับผลกระทบหนัก ผู้ว่าฯ และท้องถิ่นรวมถึงรัฐบาลระบุ “จะพัฒนาระบบเตือนภัย”
• ปี 2567 (ก.ย.): ฝนตกต่อเนื่อง น้ำล้นแม่น้ำสายเข้าท่วมตัวเมืองแม่สายอีกครั้ง ชาวบ้านบ่น “ไม่มีการแจ้งเตือน”
• ปี 2568 (พ.ค.): น้ำป่าจากเมียนมาไหลบ่าอีกครั้ง ซัดรถ-บ้านในเขตเทศบาล ชาวบ้านหนีไม่ทัน…อีกครั้งเหมือนทุกปี
ทุกครั้ง “ไม่มีการเตือนล่วงหน้า”
ทุกครั้ง “มีแต่การลงพื้นที่หลังน้ำลด”
ทุกครั้ง “รัฐบอกจะทำระบบเฝ้าระวังให้ดีขึ้น”
แต่…ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ต้นตอที่ทำให้แม่สายต้องเผชิญกับเหตุการณ์ซ้ำซากและถี่ขึ้น
ยังไม่ถูกแก้ไข…ปล่อยให้ทุกอย่างลืมเลือนไป แล้วกลับมาพูดซ้ำเมื่อเกิดเหตุ
⸻
นี่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่คือระบบราชการที่ไร้หน่วยความจำ
ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องใหม่ในแม่สาย
เรารู้แน่ว่าเวลาฝนตกหนักจากฝั่งพม่า น้ำจะลงมาทางไหน
เรารู้แน่ว่ามีดินโคลน–ตะกอนพัดมาด้วย
และเราก็รู้แน่ว่า…มีคนอาศัยอยู่ตรงทางน้ำพอดี
แต่สิ่งที่เรา “ยังไม่รู้แน่” คือ…รัฐจะเตือนล่วงหน้าเมื่อไหร่?
ถ้าผังเมืองมีปัญหาจะจัดการแบบไหน เพื่อไม่ให้เสียหายซ้ำซาก
⸻
ระบบเตือนภัย…ยังฝังกลบอยู่ใต้ดินโคลน
ตลอด 3 ปี มีแต่ “เสียงพูดถึงระบบเตือนภัย”
แต่ไม่มีเซนเซอร์ ไม่มีเรดาร์ ไม่มีเครือข่ายชุมชน
ไม่มีอะไรส่งสัญญาณก่อนน้ำมา
มีแต่สายตาชาวบ้านที่ต้องเฝ้ามองเอง
และมันก็ไม่ทัน…จมโคลนทุกที…ทุกปี
คำถามคือ…
หน่วยงานไหนรับผิดชอบเรื่องนี้?
งบที่บอกจะจัดสรรให้ระบบเตือนภัยปีที่แล้ว ใช้ทำอะไรไปแล้วบ้าง?
หรือจริง ๆ แล้วรัฐลืมหมดเมื่อสปอตไลต์ข่าวดับ?
⸻
บรรทัดฐานของรัฐไม่ควรขึ้นอยู่กับฤดูฝน แต่ควรขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบ
ภัยพิบัติเกิดซ้ำได้…
แต่ “การไม่เรียนรู้จากภัยพิบัติ” ควรถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมเชิงระบบ
เพราะมันแปลว่า “คนจะเจ็บซ้ำโดยไม่จำเป็น”
แปลว่าการตายหรือการสูญเสียของปีที่แล้ว ไม่เคยเปลี่ยนอะไรได้เลย
⸻
ถ้าเสียงเตือนภัยยังติดอยู่ที่ปลายดอย…คนที่รอคอยจะทำยังไง?
คำตอบนั้นคือ: ต้องมีใครสักคนในรัฐ ที่ “ไม่ยอมจำนนต่อความจำสั้นของระบบ”
แม้ต้องส่งเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า…เรายังคงต้องทำ
เพราะคำสัญญาของฝ่ายการเมือง ไม่ใช่แค่ของประดับช่วงหาเสียง
แต่มันคือสิ่งที่ต้องถูก “ทวงถาม” โดยเฉพาะในยามที่ประชาชนเดือดร้อน
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอ้อนวอน
แต่มันคือการสะท้อนเจตจำนงของประชาชนว่า
“รัฐต้องทำ…เพราะอำนาจนั้นมาจากเรา”
แต่ถ้าเราปล่อยให้ “เสียงของความเสียหาย”…
“ถูกกลืน” ไปกับโคลนตะกอนของระบบที่ลืมทุกอย่างเมื่อข่าวเงียบ
ภาพเดิม ๆ …จะวนลูปกลับมาอีก
และคนที่ทุกข์ซ้ำแล้ว…ซ้ำเล่าคือ ประชาชน