วันนี้ (27 พ.ค. 2568) ทักษิณ ชินวัตร จะขึ้นเวทีสำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อปาฐกถาในหัวข้อ “ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมอง และความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน”
ทว่าไม่กี่ชั่วโมงก่อนเสียงปรบมือจะดังขึ้น เราอยากชวนสังคม “ย้อนเสียงปืน” ในปี 2546 ที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสมรภูมิ “สงครามยาเสพติด” อันเป็นที่มาของคำว่า “บัญชีดำ”, “หายตัว”, และ “วิสามัญ”
ยุคที่นโยบายคือคำสั่งรบ
รัฐบาลทักษิณประกาศ “สงครามยาเสพติด” อย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 2546 โดยตั้งเป้าหมายว่า จะกวาดล้างผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติดให้หมดสิ้นภายใน 3 เดือน ภายใต้โครงการที่กำหนดเป้าเป็นรายตำบล รายอำเภอ มีการตั้งระบบประเมินผลให้ท้องถิ่นและตำรวจในพื้นที่ต้อง “ทำตัวเลขให้ได้”
นโยบายนี้ทำให้หลายพื้นที่เร่งจัดทำ “บัญชีรายชื่อผู้ต้องสงสัย” เพื่อกำจัด “ภัยต่อสังคม”
ผลลัพธ์ที่ไม่มีใครกล้าฉลอง
ระหว่าง เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2546 มีผู้เสียชีวิตถึง 2,873 ราย จากเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับการบังคับใช้สงครามยาเสพติด
รัฐบาลในขณะนั้นระบุว่า “ผู้ตายจำนวนมากหักหลังกันเองในวงการยา”
ขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนไทยและต่างประเทศ เช่น Human Rights Watch, แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฯลฯ ต่างตั้งคำถามว่า การเสียชีวิตจำนวนมากนั้นเกิดขึ้นโดยไม่มีการดำเนินคดีตามกฎหมายหรือแม้แต่การสอบสวนอย่างโปร่งใส
ในปี 2550 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งตั้งขึ้นโดยรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้เปิดเผยว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 2,800 ราย มีมากกว่า 1,000 รายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลย — พวกเขาอาจเคยเป็นผู้เสพที่เลิกแล้ว, อาจเป็นชื่อผิด, หรือบางรายไม่เคยมีประวัติใด ๆ มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
🧊 ความสำเร็จที่แลกมาด้วยอะไร?
เลขาธิการ ป.ป.ส. ในปัจจุบันให้สัมภาษณ์ว่า
“ท่านทักษิณเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ในการกำหนดนโยบายยาเสพติดของประเทศไทยจนประสบความสำเร็จ”
คำว่า “สำเร็จ” ถูกพูดซ้ำในหลายเวที แต่แทบไม่มีเวทีไหนที่ยอมรับว่า “ความสำเร็จนั้นทำให้ใครต้องตายบ้าง?”
และไม่เคยมีเวทีไหนที่ทักษิณต้องรับผิดทางการเมือง หรือแม้แต่กล่าวขอโทษต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตกว่า 2 พันราย
ก่อนปรบมือ… ลองตั้งคำถาม
ในวันที่ทักษิณ จะขึ้นเวทีพูดถึง “แนวทางยั่งยืนในการแก้ปัญหายาเสพติด”
คงไม่มีใครห้ามเขาพูดได้
แต่อย่างน้อย เราก็ควร พูดถึง “ร่องรอยที่นโยบายของเขาเคยทิ้งไว้”
เพื่อไม่ให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่อง “จำไม่ได้”
เพื่อไม่ให้คนที่ตายไปกลายเป็นแค่ตัวเลข
และเพื่อไม่ให้รุ่นใหม่ต้องเดินย้อนรอยโศกนาฏกรรมในนามของ “ทำสงครามกับยาเสพติด”