“ได้ยินเสียงความทุกข์ของประชาชนไหม? หรือนายกฯ หูตึง!” เสียงของปัญญา โตกทอง ตัวแทนเครือข่ายประชาคมคนรักแม่กลอง สะท้อนความอัดอั้นที่สะสมมานาน ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” จนเป็นที่มาของการรวมตัวเครือข่ายประชาชน 19 จังหวัด เดินไปทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมเทปลาหมอคางดำ 2 ตัน และเผาพริกเผาเกลือสาบแช่งคนที่ทำให้เกิดปัญหานี้ แม้จะถึงศูนย์กลางอำนาจแล้วแต่สิ่งที่พวกเขาได้รับคือ ”ความผิดหวัง“ กับการยื่นข้อร้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผลตอบรับที่ได้กลับเป็นความไม่จริงจัง ไม่จริงใจในการแก้ปัญหาที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐาจนถึงรัฐบาลแพทองธาร ทั้ง ๆ ที่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ไม่เพียงทำลายอาชีพของคนท้องถิ่น ยังสร้างความเสียหายมหาศาลต่อระบบนิเวศในแหล่งน้ำธรรมชาติด้วย
ผิดหวัง รัฐบาลเมินความเดือดร้อน ปชช.
ปัญญา บอกว่า เครือข่ายประชาชน 19 จังหวัดผิดหวังมาก เพราะยื่นหนังสือมาตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐา ตอนนั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ขณะนั้น รับเรื่องและบอกว่า “ธรรมนัสเอาอยู่” ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบหายไป พอมาถึงรัฐบาลแพทองธาร ก็ไปครั้งแรก 13 ม.ค.68 ยื่นข้อเรียกร้อง 4 ข้อ คือ ฟื้นฟูเยียวยาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ กำจัดปลาหมอคางดำภายในหนึ่งปี ฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับคืนมาดังเดิมให้ตั้งคกก.อิสระมีความเชี่ยวชาญมาสอบสวนหาผู้กระทำผิดจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และหน่วยงานรัฐต้องฟ้องร้องคนที่นำปลาหมอคางดำเข้ามา เพื่อเรียกค่าเสียหาย เมื่อมีการเยียวยาประชาชนอาจต้องนำเงินภาษีมาใช้ก่อน จากนั้นไปไล่เบี้ยเก็บจากคนที่ทำให้ปลาหมอคางดำแพร่ระบาด จนทำลายระบบนิเวศ สร้างความเสียหายมหาศาล
“เราไปยื่นข้อเรียกร้องทั้งสี่ข้ออีกครั้งเมื่อวานนี้ (18 มี.ค.68) นายกฯไม่ออกมา แถมไปต้อนรับนายทุนรวยพันล้านในทำเนียบรับช่อดอกไม้กับประมงคนรวย ไม่เห็นหัวประชาชน มีเวลาพาลูกวิ่งเล่นสนามหญ้าหน้าตึกไทยฯ ไม่มาหาชาวบ้านที่เดือดร้อน เอาตำรวจมากัน เอากฎหมายมาข่มขู่ นี่คือสิ่งที่ประชาชนได้รับจากนายกฯ พอนายกฯ ไม่มารับเรื่อง ฝ่ายค้านมาพวกคุณก็หาว่ามีการเมืองหนุนหลัง ทั้ง ๆ ที่นี่คือความเดือดร้อนของประชาชนเป็นม็อบธรรมชาติไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเลย” ปัญญา กล่าวอย่างคับแค้นใจ พร้อมตั้งคำถามว่าเมื่อนายกฯ อาสามาแก้ปัญหาประเทศชาติ เหตุใดไม่มารับฟังความเดือดร้อนของประชาชน และเห็นว่ารัฐบาลคือตัวปัญหาตัวแรกที่แก้ไม่ได้ในมุมมองของชาวบ้าน
คำพูดของ ปัญญา สะท้อนให้เห็นถึง ช่องว่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เมื่อรัฐบาลเมินเฉยต่อความทุกข์ยากของคนหาเช้ากินค่ำ ขณะที่ “นายทุนร่ำรวยกลับมีพื้นที่ในทำเนียบเสมอ?”
มาตรการ “ลิงแก้แห” รัฐบาลบอกแก้ แต่ชาวบ้านยังเดือดร้อน!
เขาบอกด้วยว่า ปัญหาปลาหมอคางดำยังไม่เคยได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลเศรษฐาแม้ในขณะนั้นจะมีการกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ แต่การแก้ปัญหาทำเหมือนลิงแก้แห กรมประมงลงพื้นที่ในเวลาราชการ ตั้งโต๊ะรับซื้อสร้างความชอบธรรมให้หน่วยงานราชการ เปิดทางบริษัทที่สร้างปัญหาทำ CSR แต่ด้อยค่าประชาชน “รัฐมนตรีมาบอกจับหมดแล้ว มาทั้งวันได้ปลาหมอคางดำตัวเดียว มันด้อยค่า ดูถูกประชาชน” เรียกว่ามาตรการที่ทำไม่ได้ผล ปัจจุบันปลาหมอคางดำยังแพร่ระบาดอยู่ เพราะรัฐบาลไม่มีความจริงจังและจริงใจในการแก้ปัญหา
ไม่ได้คิดร่วม-มีแต่คิดแทน
ปัญหาที่ใหญ่กว่าการระบาดของปลาหมอคางดำคือ วิธีคิดของรัฐบาล
“ที่ผ่านมารัฐบาลคิดแทนไม่ได้คิดร่วม ตั้งคณะกรรมการจากข้าราชการเต็มห้องไม่ได้คิดร่วมกับชาวบ้าน แม้แต่คณะกรรมการระดับจังหวัดก็เป็นพวกตัวเองทั้งหมดไม่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม “ไม่ได้คิดร่วม มีแต่คิดแทน”
ปัญญา เล่าว่า ในปี 2560 เขาเคยไปยื่นเรื่องร้องเรียนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพราะเห็นว่ามีการละเมิดสิทธิพร้อมชี้ทางออกให้กำจัดอย่างบ้าคลั่งในพื้นที่แพร่ระบาดหนักอย่างจังหวัดสมุทรสงครามและเพชรบุรี พร้อมทั้งยกเลิกเครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย ซ้ายขวา สมุทรสาครให้ปล่อยปลานักล่า แต่ประมงปล่อยไปจับไปเหมือนเด็กเล่นขายของ ปลากระพงที่มาปล่อยก็เป็นปลาที่เหลือคัด เอาปลาดี ๆ ไป เหลือแต่ปลาที่เลี้ยงไม่โตปล่อยลงแม่น้ำ และการปล่อยปลาก็ต้องปล่อยแบบหลากหลายไม่ใช่แค่ปลากระพงอย่างเดียว เช่น ปลากุเลา ปลาดุกทะเล แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
ในน้ำ-ในนา อาจเหลือแต่ ”ปลาหมอคางดำ“
”ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ระบบนิเวศษจะพังหมด ป่าชายเลนจะถูกยึด อาหารทะเลหมดไป การเลี้ยงกุ้งล่มสาย คำกล่าวที่ว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าวอาจใช้ไม่ได้อีก เพราะต่อไปเราอาจเหลือแค่ปลาหมอคางดำ“ ปัญญากล่าวพร้อมระบุว่า รัฐบาลชอบมองว่าเป็นเรื่องการเมือง ฝ่ายค้านหนุนมา ซึ่งไม่เกี่ยวเลย เราไม่อยากยุ่งการเมือง เราเอาปลาไปเพื่อสะท้อนความเดือดร้อน “เป็นม็อบธรรมชาติที่ได้รับความเดือดร้อน ลงขันกันต่อสู้ มองปลาหมอคางดำเป็นศัตรู ไม่เหมือนรัฐบาลมองประชาชนเป็นศัตรูทำให้แก้ปัญหาไม่ได้” ปัญญา บอกว่า การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำสร้างความเสียหายมหาศาล ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ชายฝั่งป่าชายเลน น้ำกร่อยจะถูกปลาหมอยึดครองทั้งหมด ต่อไปอาหารทะเลก็ไม่เหลือ ความมั่นคงทางอาหารสูญสลาย การเลี้ยงกุ้งดั้งเดิมล่มสลาย คำกล่าวที่ว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ไม่มีแล้ว เพราะจะเหลือแต่ปลาหมอคางดำ
นายกฯ ได้ยินความเดือดร้อนของประชาชนหรือยัง?
เมื่อถามว่า คิดว่าเสียงของเกษตรกรไปถึงนายกฯ หรือยัง? เขาบอกว่า ไม่รู้นายกฯ หูตึงหรือไม่ เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นท่าทีในการแก้ปัญหา มีแต่คำยืนยันจากอธิบดีกรมประมงว่า “ตรวจสอบแล้วไม่พบคนกระทำผิด” ทั้งที่สามารถตรวจสอบจากกรมศุลกากรในการนำเข้าปลาหมอคางดำได้ แต่ทำหรือเปล่า
“หรือกฎหมายมีไว้ใช้กับประชาชนที่เดือดร้อนและมาร้องเรียนหน้าทำเนียบเท่านั้น ชาวบ้านเห็นเลยว่านายกฯ ไม่มีความจริงใจ เราไปออกมารับหนังสือก็จบ แต่มีเวลาต้อนรับคนรวย พาลูกไปวิ่งสนามหญ้า อาสามาแก้ปัญหาแล้ว ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ควรอาสามาเป็นนายกฯ ถ้าพรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชนจริง โปรดเข้าใจ ฟังเสียงชาวบ้านบ้าง อย่าฟังข้าราชการอย่างเดียว ฟังตาสีตาสายายมียายมาบ้างว่าเขาเดือดร้อนยังไง และอย่าคิดแทนต้องคิดร่วม เราไม่ได้ใช้อารมณ์ เราชาวบ้านจบป.4 เปรียบก็เหมือนกับลูกที่ได้รับความเดือดร้อนก็มาบอกพ่อแม่คือรัฐบาลให้ช่วยเหลือ แต่พ่อแม่นิ่งเฉย มันใช่มั้ย เป็นพ่อแม่ที่ไม่มีภาวะผู้นำดูแลลูกหรือเปล่า สิ่งที่ได้คือความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา ประมงพาณิชย์รัฐบาลก็ดูแล ภัยธรรมชาติก็มีการเยียวยา เรื่องนี้ก็เป็นภัยพิบัติที่ถูกละเมิดยิ่งกว่าภัยธรรมชาติ ที่เราไม่ได้ก่อ แล้วทำไมไม่มีการเยียวยาให้ชาวบ้าน”
ถ้ารัฐบาลไม่จริงใจก็ต้องยกระดับการเคลื่อนไหว
สำหรับการเคลื่อนไหวต่อจากนี้หากรัฐบาลยังเพิกเฉย ก็คงจะต้องมีการยกระดับการเคลื่อนไหว “ในส่วนจังหวัดผมคงจะนำปลาและคนมากกว่านี้ ไปทวงถามความคืบหน้า และเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งมากกว่านี้ให้เหมือนฌาปณกิจหรืองานเผาศพทุกคนที่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจนำปลาหมอคางดำเข้ามาในประเทศจนเกิดการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่มีใครสร้างเวรสร้างกรรมให้ชาวบ้านได้ใหญ่หลวงกว่านี้แล้ว ทำลายความมั่นคงทางอาหาร ทำลายระบบนิเวศ เขาต้องรับกรรม ซึ่งการไปทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งอาจเป็นอีกหนึ่งหรือสองเดือนข้างหน้าเพราะไม่ได้มีเงินทุนหรือการเมืองสนับสนุนในการเคลื่อนไหว แต่เราก็ไม่ต้องการให้เรื่องเงียบ เพราะความเดือดร้อนยังคงดำรงอยู่ เรายังต้องพยายามตะโกนให้นายกฯ ได้ยินความเดือดร้อนของพวกเรา”
นี่เป็นอีกครั้งที่ประชาชนต้องส่งเสียงตะโกนให้ผู้มีอำนาจได้ยินถึงความเดือดร้อนของพวกเขา แต่เสียงเหล่านั้นไปถึงผู้มีอำนาจหรือไม่? หรือว่าสุดท้ายแล้ว คนที่ทำลายระบบนิเวศ คนที่ทำลายชีวิตชาวบ้าน ไม่ใช่แค่ปลาหมอคางดำ แต่คือคนที่มีอำนาจแต่ไม่ทำอะไรเลย
ถ้ารัฐบาลยังเพิกเฉย ก็อย่าไปว่าชาวบ้าน หากพวกเขาต้องส่งเสียงให้ดังกว่าเดิม!