“ตอนนี้อยู่ในภาวะโต้ตอบกันไปมา ยังไม่ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าปล่อยให้บานปลาย มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะเคยเกิดมาแล้ว 2 ครั้งในอดีต”
รศ.ดร.ปณิธาน เตือนแรงว่าความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตอย่าง กรณีเผาสถานทูตไทยในพนมเปญ เมื่อ 30 มกราคม 2546 และ การเรียกทูตกลับประเทศในปี 2552 จากกรณีแต่งตั้งอดีตนายกฯ ไทยเป็นที่ปรึกษาสมเด็จฮุน เซน ยังคงเป็นรอยแผลฝังใจ และสถานการณ์ในวันนี้ก็กำลังเดินเข้าใกล้เงื่อนไขเดิมทีละก้าว
“เราไม่เคยเผาสถานทูตเขา แต่เขาเคยเผาสถานทูตเรา เพราะฉะนั้น…ความทรงจำมันไม่ดีนัก”
เมื่อผู้นำระดับสูงปะทะกันโดยตรง โอกาสปะทุในระดับประชาชนก็เกิดขึ้นได้ทันที
————
ผลกระทบเศรษฐกิจเริ่มเห็นชัด…ความเสียหายไม่ใช่เรื่องนามธรรม
“การค้า–บริการสาธารณูปโภค–การเชื่อมโยงชายแดน เริ่มมีตัวเลขผลกระทบออกมาแล้ว”
แม้บางหน่วยงานยังรอการยืนยัน แต่ รศ.ดร.ปณิธาน ย้ำว่า “ความเสียหายได้เริ่มเกิดขึ้นจริง” โดยเฉพาะฝั่งไทยที่เป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ของกัมพูชา รองจากจีน สหรัฐ และเวียดนาม หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียดเช่นนี้ต่อไป
“เป้าหมายปีนี้ที่วางไว้ว่าจะทำมูลค่าการค้าสูงสุดในประวัติศาสตร์ 1.5 หมื่นล้านบาท…เลิกคิดไปได้เลย”
——-
สถานการณ์จะยาวนานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา…ถ้าไม่รีบเปลี่ยนเกม
“เคยคิดว่ารอบนี้จะเร็ว แต่วันนี้เริ่มเห็นแล้วว่า…น่าจะยืดเยื้อ”
เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต เช่นการปะทะปี 2501–2502 จากกรณีสันติภาพโลก หรือกรณีปี 2546 ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการคลี่คลาย แต่รอบนี้ “ผู้นำกัมพูชาคือลูกชายของอดีตผู้นำ” ที่ต้องการสร้างอำนาจ และกำลัง “ยกระดับความตึงเครียด” เพื่อสถาปนาความชอบธรรม
“เมื่อผู้นำสูงสุดลงมาเล่นเองแบบนี้ สถานการณ์มันก็จะยาว…แม้แต่คนไทยก็อยากให้ตอบโต้กลับแล้วด้วย”
—————
กลไกความสัมพันธ์ที่มีอยู่…ใช้ไม่ได้อีกต่อไป
“JBC–RBC–GBC มันเป็นกลไกเดิม ๆ ที่วนลูปมา 30 ปี…ถ้าไม่ปรับใหม่ เราก็จะอยู่กับความเจ็บปวดเดิม ๆ ต่อไป”
รศ.ดร.ปณิธานเสนอว่าควรใช้โอกาสนี้ “เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” เสนอร่างความร่วมมือฉบับใหม่ที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และตอบโจทย์ยุคสมัย เพื่อแสดงให้กัมพูชารุ่นใหม่เห็นว่า ไทยไม่ได้คิดแบบบรรพบุรุษที่ยึดกรอบเก่าเท่านั้น
“ถ้าเรากล้าเสนอกรอบใหม่ เป็นไปได้เลยว่าสถานการณ์จะหักกลับทันที…หากประชาชนทั้งสองประเทศอาจมองว่านี่คือทางออก”
————-
ทีมแก้วิกฤตล่าช้า–ทำงานเชิงรุกไม่ได้
“วันนี้ภาษาชาวบ้านเขาพูดว่า ยังไม่เทกแอคชันเลย…ยังไม่มีคนลงมือทำชัด ๆ”
แม้จะมี “ศูนย์ฯ” ที่เพิ่งตั้งขึ้นโดยมีรมช.กลาโหมเป็นหัวหน้าทีม แต่ก็ยังติดขัดด้วยระบบราชการ แถลงรายวันแบบวิธีโควิดซึ่งใช้ไม่ได้กับภาวะการทูต
“จริง ๆ มีคณะกรรมการเฉพาะกิจที่ สมช. เคยใช้ ติดตามสถานการณ์รายวันได้รวดเร็ว…ทำไมไม่ใช้ทีมเล็ก ๆ นั้นที่มีความคล่องตัวมากกว่า?”
อย่างไรก็ตามยังเห็นว่าควรให้เขาเสนอให้โอกาส รมช.กลาโหมทำงานจริงจัง 1 สัปดาห์ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้อง “เปลี่ยนยา” อาจเป็นยาที่แรงกว่า คล่องตัวกว่า และลดจำนวนผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้ตัดสินใจเร็ว
————-
ศาลโลก…ต้องตั้งทีมเฉพาะทันที
“คนถามทุกวันเรื่องศาลโลก…แต่ยังไม่มีทีมเฉพาะเลยแม้แต่คนเดียวที่ออกมาสื่อสารกับประชาชน”
แม้ไทยจะไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แต่ก็ต้องรู้เขารู้เรา และต้องสื่อสารกับสังคม กัมพูชาทำอะไร เราชี้แจงนานาชาติอย่างไร?
————-
เชื่อมโยงไปถึงภูมิรัฐศาสตร์โลก…ถ้าเรานิ่ง เราจะเสียทั้งเกม
“การที่กัมพูชาดึงฝรั่งเศสเข้ามา…ไทยก็ควรเจรจากับฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน”
ขณะที่อิสราเอล–อิหร่านกำลังเผชิญหน้ากัน ไทยควรใช้จังหวะนี้เดินหน้าเจรจากับ “พันธมิตรฝั่งตะวันตก” โดยเฉพาะฝรั่งเศส–สหรัฐ เพื่อไม่ให้ถูกโดดเดี่ยว
“ถ้าอยู่นิ่ง ก็จะไม่เสียอะไร…แต่ก็จะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน”
ในทางกลับกัน หากคำนวณเกมให้ถูก ว่าอยู่ฝั่งไหนได้ประโยชน์–ไม่สูญเสียอธิปไตย ก็อาจเป็นโอกาสหายากที่ไทยจะได้พันธมิตรเพิ่มขึ้นในยุคที่โลกกำลังจัดระเบียบใหม่
———-
เสนอกรอบใหม่ สร้างทางเลือก
“ฮุน มาเนตอาจไม่เลือกกรอบใหม่ทันที…แต่สุดท้ายก็ต้องเดินไปทางนั้น ถ้าไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อ”
เขายกตัวอย่างการที่สหรัฐฯ ยังต้องกลับไปคุยกับอิหร่าน แม้ไม่อยากทำ แต่เพื่อหยุดยั้งไม่ให้สถานการณ์ตะวันออกกลางลุกลาม ก็ต้องคุยแสดงให้เห็นว่า “แม้ไม่อยากเดินทางนี้ แต่สุดท้ายก็เลี่ยงไม่พ้น”
“การเสนอกรอบใหม่ ไม่ใช่แค่การเจรจา…แต่เป็นการแสดงภาวะผู้นำของไทย ที่พร้อมจะหาทางออก”