คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งข้อกล่าวหาต่อ 44 ส.ส. พรรคประชาชน (อดีตพรรคก้าวไกล) กรณีร่วมลงชื่อสนับสนุนร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา โดยระบุว่าอาจเข้าข่าย “ความผิดจริยธรรมร้ายแรง” ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
ป.ป.ช. ชี้แจงกระบวนการไต่สวน
ศาสตราจารย์ ดร.เมธี ครองแก้ว อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ได้วิเคราะห์สถานการณ์นี้ในบทความ “ป.ป.ช. กับอนาคตของ 44 ส.ส. พรรคประชาชน” ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปยัง ส.ส. ทั้ง 44 คน และให้แต่ละคนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมทั้งให้โอกาสในการชี้แจงและแก้ต่างภายใน 15 วัน ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะพิจารณาว่าจะชี้มูลความผิดหรือไม่
“สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับกระบวนการของ ป.ป.ช. การพิจารณาในชั้นนี้ไม่ใช่ขั้นสุดท้าย หาก ป.ป.ช. เห็นว่ามีมูล จะส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่บทลงโทษที่รุนแรง เช่น การเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต” ศ.ดร.เมธี อธิบาย
ข้อกังวลเรื่องความเป็นอิสระของ ป.ป.ช.
ในบทความดังกล่าว ศ.ดร.เมธี ย้ำว่า การที่ ป.ป.ช. ตั้งข้อกล่าวหาในช่วงเวลานี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าอาจมีแรงกดดันทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากพรรคประชาชนกำลังเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเดือนมีนาคม
“นักวิเคราะห์การเมือง รวมถึงผู้นำพรรคฝ่ายค้าน หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การเร่งรัดตั้งข้อกล่าวหาอาจเป็นความพยายามสกัดกั้นพรรคประชาชน ไม่ให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขัดขวางการขยายตัวของพรรคในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.เมธี ยืนยันว่า ป.ป.ช. มีอิสระและต้องดำเนินการไปตามกระบวนการของกฎหมาย โดยไม่ได้รับอิทธิพลจากฝ่ายใด
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและมาตรฐานจริยธรรม
ป.ป.ช. อ้างอิงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ของอดีตพรรคก้าวไกล เป็นการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และอาจเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สิ้นสุดและผูกพันทุกองค์กรของรัฐ รวมถึง ป.ป.ช. ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดำเนินการกับ ส.ส. ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังใช้ “มาตรฐานจริยธรรมของนักการเมือง” พ.ศ. 2561 เป็นเกณฑ์พิจารณาคดี โดยมาตรฐานดังกล่าวระบุว่านักการเมืองต้องรักษาระบอบประชาธิปไตยและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่มีผลบังคับใช้มาแล้วในหลายคดีที่ผ่านมา
คดีนี้กระทบภาพลักษณ์ไทยในระดับสากล
ศ.ดร.เมธี ยังกล่าวถึงผลกระทบที่กว้างขวางของคดีนี้ โดยเฉพาะในระดับนานาชาติ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและสถาบันวิจัยหลายแห่ง เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC), Lowy Institute ของออสเตรเลีย และกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย (DFAT) ต่างเคยออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย และผลกระทบต่อเสรีภาพทางการเมือง
“ความรู้สึกของประชาคมโลกที่มีต่อประเทศไทย อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล นักลงทุนต่างชาติ และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย” ศ.ดร.เมธี ระบุ
อนาคตของ 44 ส.ส. และผลกระทบทางการเมือง
แม้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะยังมีโอกาสต่อสู้ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่โอกาสรอดก็ไม่แน่นอน เนื่องจากศาลต้องพิจารณาคดีภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสถาบันฯ
“การพิจารณาของ ป.ป.ช. ครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทย และอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของพรรคประชาชน รวมถึงทิศทางของระบอบประชาธิปไตยในประเทศ” ศ.ดร.เมธี สรุป