เปิด 5 คำเตือนแบงก์ชาติ-รัฐบาลทำตามแค่ 1
G-Token รอบแรก 5 พันล้านบาทเพื่อระดมเงินภายใต้กรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ที่รัฐบาลวางแผนดำเนินการให้จบภายใน 1-2 เดือนนี้ ชูประเด็นให้ดูทันสมัยเป็นนวัตกรรมใหม่ ถึงขั้นคุยโวว่า “เป็นประเทศแรกของโลก”
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลังอ้างว่า “ได้พิจารณาข้อกังวลของแบงก์ชาติแล้ว มั่นใจว่าโครงการนี้ไม่ส่งกระทบใด ๆ ”
แต่เมื่อเย้อนดูความเห็นแบงก์ชาติอย่างละเอียด กลับพบว่า รัฐบาลทำตามเพียงแค่ข้อเดียวจากทั้งหมด 5 ข้อ
ธนาคารแห่งประเทศไทย เสนอ 5 เงื่อนไข ก่อนออก G-Token
วันที่ 3 เมษายน 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งหนังสือความเห็นถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ต่อกรณีที่กระทรวงการคลังเสนอให้รัฐบาลอนุมัติการออก G-Token (Government Token) เพื่อใช้เป็นช่องทางระดมทุนรูปแบบใหม่
แม้ ธปท. ไม่คัดค้านในหลักการ แต่ได้เสนอ 5 เงื่อนไขสำคัญ ซึ่งเป็น ข้อพึงระวังด้านเทคนิค กฎหมาย และความเชื่อมั่นต่อระบบการเงิน ดังนี้:
1. ต้องมีระบบและกระบวนการที่เสถียร ปลอดภัย และเทียบเท่าพันธบัตรรัฐบาล
โดยเฉพาะระบบเสนอขาย การจัดการทะเบียน การเก็บรักษา และการไถ่ถอน
ผู้ให้บริการต้องมีความน่าเชื่อถือ และมีแผนรองรับเหตุฉุกเฉิน
2. ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่เหมาะสม
โดยเฉพาะกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดทุน ไม่ใช่ พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล
เพื่อให้สถานะของ G-Token ชัดเจน ไม่เกิดปัญหาความไม่แน่นอนทางกฎหมายในอนาคต
3. ต้องนับเป็นการกู้เงินในกรอบวินัยการคลัง
และอยู่ภายใต้แผนบริหารหนี้สาธารณะตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้ฯ
4. ต้องไม่มีลักษณะของการ “สร้างเงิน” ที่ขัด พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501
โดยเฉพาะการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนในรูปแบบ G-Token โดยไม่มีเงินสดรองรับเต็มจำนวน
5. ต้องใช้เพื่อการออมเท่านั้น ไม่ใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน
และต้องมีระบบติดตามเพื่อป้องกันการใช้ G-Token ผิดวัตถุประสงค์
นอกจากนี้ ธปท. ยังเสนอว่า:
“การออก G-Token ควรเริ่มต้นในลักษณะ โครงการนำร่อง (Pilot Project) ในวงจำกัดเท่านั้น”
เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและประเมินความเสี่ยงได้อย่างรอบด้าน ก่อนนำมาใช้จริงในวงกว้าง
⸻
รัฐบาลปฏิบัติตามคำแนะนำ ธปท. หรือไม่?
เมื่อเทียบกับมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ที่อนุมัติให้กระทรวงการคลังเดินหน้าระดมทุนผ่าน G-Token วงเงิน 5,000 ล้านบาทภายในกรกฎาคมนี้ จะพบว่า:
• ✅ รัฐบาลปฏิบัติตามเพียงบางข้อเท่านั้น เช่น การระบุว่าอยู่ภายใต้แผนหนี้สาธารณะ
• ❌ แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน ว่าระบบมีเสถียรภาพหรือปลอดภัยเทียบเท่าพันธบัตร
• ❌ รัฐบาลยังคงยึด พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นฐาน ไม่ใช่ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ตามที่ธปท.เสนอ
• ❓ ไม่มีความชัดเจน ว่าจะมีเงินสดรองรับผลตอบแทนเต็มจำนวน
• ❌ ไม่มีระบบควบคุมเพื่อป้องกันการใช้ G-Token เป็นสื่อกลางชำระเงิน
⸻
ความเสี่ยงไม่ใช่แค่เทคนิค แต่คือ “ความเชื่อมั่น”
แม้ถ้อยคำของธปท.จะไม่ได้ระบุตรง ๆ ว่า G-Token คือ “การพิมพ์เงินดิจิทัล” แต่คำเตือนเรื่องห้าม “สร้างเงิน” หรือใช้ G-Token แทนเงินตรา สะท้อนความกังวลว่าประชาชนอาจใช้ G-Token เสมือนเป็นเงินบาทอีกประเภทหนึ่ง
หากไม่มีระบบป้องกันการใช้ผิดวัตถุประสงค์
G-Token อาจถูกแลกเปลี่ยน–ชำระหนี้–หมุนเวียนในตลาดเสมือนเงิน
ซึ่งจะกระทบ “บทบาทของแบงก์ชาติ” และสร้างภาพลักษณ์ว่า
รัฐบาลกำลังออกเงินเองเพื่อปิดงบขาดดุล โดยไม่มีระบบถ่วงดุลจากธนาคารกลาง
สิ่งนี้อาจไม่ผิดกฎหมายทันที
แต่คือความเสี่ยงเชิง “perception” (การรับรู้) ที่อาจกระทบ ความน่าเชื่อถือด้านการเงิน–เครดิตประเทศ–ความเชื่อมั่นของตลาด
โดยเฉพาะในสายตาสถาบันจัดอันดับ เช่น Moody’s, Fitch, S&P
⸻
จะทดลอง…หรือจะเสี่ยง?
ธปท.เสนอให้เริ่มต้นแบบ “จำกัดวง”
แต่รัฐบาลกลับตั้งธง “ขายจริง” ให้ทันกรกฎาคม
ในเมื่อความเสี่ยงยังไม่ถูกปิดให้ครบทุกด้าน
คำถามใหญ่ที่เหลืออยู่ก็คือ…
G-Token จะเป็นนวัตกรรมทางการเงิน หรือเป็นความเสี่ยงทางนโยบายที่เร่งเกินไป?
นี่ไม่เพียงเป็นการข้ามขั้นตอนแบบก้าวกระโดดไปสู่เป้าหมายของฝ่ายการเมืองเท่านั้น…
แต่อาจเป็นสปริงบอร์ดส่งกระทรวงการคลังเข้าสู่ “เกมระบบการเงิน” ทั้งที่หน้าที่ควบคุมเสถียรภาพการเงินของประเทศคือแบงก์ชาติ
ระบบการเงินในมือรัฐบาลที่ไร้วินัยการคลัง…ประชาชนจะไว้ใจได้จริงหรือ?