“จะไป…แต่ไม่ลาออก”
โรคเรื้อรังของประชาธิปไตยไทย: ไม่เคารพพรรค กอดเก้าอี้สส. กระโดดหาอำนาจใหม่
พฤติกรรม “แตกหักแต่ไม่ลาออก” กำลังกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่การเมืองไทย
ไม่ใช่แค่ในฝ่ายรัฐบาล…แต่ข้ามขั้วมาถึงฝ่ายค้าน
เมื่อระบบพรรคกลายเป็นเพียงชื่อทางกฎหมาย แต่ไม่ใช่หลักยึดทางอุดมการณ์
ไม่รับมติพรรค แต่ยังไม่ยอมคืนเก้าอี้
📌 ฝ่ายรัฐบาล:
18 ส.ส.ก๊วนสุชาติ ชมกลิ่นจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
– ประกาศสให้พรรคขับจะได้ไปร่วามงานกับ “พรรคโอกาสใหม่”
– แพทองธารปรับครม. แยกโควตากลุ่มนี้ออกจากรวมไทยสร้างชาติ เติมคนจากพรรคโอกาสใหม่มาเป็นรัฐมนตรี
– ยังคงเก้าอี้รมต.ก๊วนพีระพันธุ์ ไว้ เท่ากับสนับสนุนรทสช. อกแตกทั้งสองขั้วไว้ในรัฐบาลอิ๊งค์ 2
——
📌 ฝ่ายฝ่ายค้าน:
5 ส.ส.จากพรรคไทยสร้างไทย
–แตกเป็นสองส่วน สามเสียงไปเพื่อไทย อีกสองเสียงไปภูมิใจไทย
– โนสน โนแคร์ มติพรรคมาระยะหนึ่งแล้ว
– แต่ก็ไม่ลาออกจากพรรคเช่นกัน
ยังมีอีก 1 สส.พรรคประชาชน
ไม่ลาออก-ทำงานร่วมกับพรรคกล้าธรรมแล้ว
เจตนารมณ์ระบบพรรค…ถูกบิดเบือนพร้อมกันทั้งสองขั้ว
ทั้งสองกรณีคือภาพสะท้อน “การเมืองแบบเกาะเก้าอี้” ซึ่งไม่ยึดโยงกับประชาชน ไม่เคารพกติกาที่พรรคการเมืองวางไว้ และบิดหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ
ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ถ้าประกาศแยกตัวทางการเมืองอย่างชัดเจน
แต่ไม่ยอมลาออกจากพรรคที่ส่งตัวเองเข้าสภาฯ
ก็ถือเป็น “การหาประโยชน์ส่วนตัวจากระบบพรรค”
ปัญหาใหญ่ไม่ใช่แค่คน…แต่คือกติกาที่เอื้อ
ปัจจุบัน
– หาก ส.ส. “ลาออกจากพรรค” →สิ้นสมาชิกภาพทันที
– แต่หากรอ “ให้พรรคขับออก” →ยังมีเวลา 30 วันเพื่อย้ายพรรค
กลายเป็น “ช่องว่างทางกฎหมาย” ที่เปิดทางให้ ส.ส. ไม่ซื่อสัตย์ต่อพรรค แต่ยังรักษาเก้าอี้เพื่อใช้ต่อรองการเมือง
คำถามคือ ถึงเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่?
ทางออกที่ต้องกล้าคิด
เพื่อหยุดการเมืองแบบ “เหยียบเรือสองแคม”
ประชาชนต้องเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายพรรคการเมืองดังนี้:
- ตัดสิทธิ์การใช้เวลา 30 วันเพื่อย้ายพรรคเมื่อมีเจตนาแยกทางโดยสมัครใจ
2 ห้ามรับตำแหน่งในรัฐบาลหากย้ายพรรคโดยฝ่าฝืนมติพรรคเดิม เว้นแต่มีการเลือกตั้งใหม่
3 พรรคที่รับ ส.ส. ที่ฝ่าฝืนมติพรรคเดิมต้องถูกตรวจสอบอย่างเปิดเผย
4 หรือยกเลิกการบังคับผู้สมัคร สส.สังกัดพรรคการเมือง ตัดปัญหาไปเลย
ไม่ใช่แค่เรื่องเก้าอี้…แต่นี่คือวิกฤตความน่าเชื่อถือของการเมืองไทย
เมื่อพรรคกลายเป็นแค่ “ตราประทับส่งลงเลือกตั้ง”
และนักการเมืองสามารถ “เลือกอุดมการณ์ตามเก้าอี้” ได้
ระบบพรรคการเมืองก็ไร้ความหมาย
ประชาธิปไตยก็กลายเป็นเพียงการแสดงบนเวที…ไม่ใช่ระบบที่รับใช้ประชาชน
ถ้าไม่ปฏิรูปกติกา
เราจะไม่มีวันได้ผู้แทนที่ยืนหยัดข้างเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง