“นี่คือคนที่เราเลือก?” – ว่าด้วยคุณธรรมและการคัดสรรผู้นำท้องถิ่น
“หากการมีอำนาจทำให้ใครบางคนคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะล่วงละเมิดผู้อื่นได้ นั่นไม่ใช่แค่นักการเมืองเลว แต่คือระบบกลั่นกรองที่ล้มเหลวมาตั้งแต่ต้น”
กลางเดือนมิถุนายน 2568 ข่าวครึกโครมชิ้นหนึ่งสะเทือนภาพลักษณ์ของการเมืองท้องถิ่นไทยแบบไม่อ้อมค้อม — สมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) ปทุมธานีรายหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าพยายามล่วงละเมิดทางเพศเพื่อนสจ.หญิงจากต่างจังหวัดหลังเสร็จสิ้นงานสังสรรค์
จากคำให้การของผู้เสียหายและภาพวงจรปิดที่ปรากฏ สจ.ชายได้พาเธอขึ้นรถโดยอ้างว่าจะไปส่งที่พัก แต่กลับขับพาไปยังโรงแรมม่านรูด พยายามลวนลาม จูบ กอด และไม่ฟังคำปฏิเสธใดๆ จนเธอต้องหนีออกมาจากห้องในสภาพหวาดกลัว
คำถามคือ… นี่คือคนที่เรามอบอำนาจให้ดูแลท้องถิ่นของเราใช่ไหม?
⸻
✳ “แค่เรื่องส่วนตัว?” – หรือเรื่องของความไว้วางใจสาธารณะ
ข้อแก้ตัวหนึ่งที่มักโผล่มาเสมอเมื่อเกิดกรณีล่วงละเมิดทางเพศในแวดวงการเมือง คือ “เป็นเรื่องส่วนตัว” หรือ “เป็นเรื่องเข้าใจผิดระหว่างผู้ใหญ่” ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ทำลายผู้เสียหายอย่างร้ายแรง
แต่เมื่อผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะ — ได้รับเลือกจากประชาชน — พฤติกรรมส่วนตัวย่อมกระทบต่อ ความไว้วางใจของส่วนรวม และนั่นทำให้กรณีนี้ “ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน”
หากผู้มีตำแหน่งทางการเมืองสามารถใช้สถานะ ความสนิทสนม หรืออำนาจเชิงระบบในการคุกคามคนอื่นได้โดยไม่ถูกตั้งคำถามจากสภาท้องถิ่นที่ตัวเองสังกัด หน่วยงานรัฐ หรือประชาชน นั่นหมายถึงเรากำลังเพิกเฉยปล่อยให้อาชญากรสวมเสื้อคลุมเลือกตั้งซุ่มก่อเหตุได้ตามอำเภอใจ
ครั้งนี้หนีรอด เป็นข่าว แล้วที่ผ่านมาล่ะ เคยเกิดเหตุอะไรที่น่าสะพรึงแต่สังคมไม่ได้รับรู้ไหม?
⸻
✳ เงียบกันทั้งสภา – และนั่นน่ากลัวพอๆ กับผู้กระทำ
สิ่งที่น่ากังวลไม่น้อยไปกว่าการกระทำของผู้ต้องหา คือ ความเงียบ ของเพื่อนร่วมสภา หน่วยงานต้นสังกัด และผู้นำท้องถิ่นในระดับจังหวัดที่ล่าช้าในการแสดงจุดยืนต่อเหตุการณ์นี้
เมื่อเกิดความรุนแรงทางเพศในหมู่ “คนกันเอง” ความสามัคคีดูจะมาก่อนความถูกต้องเสมอ
ไม่มีใครออกมาเรียกร้องให้พักงาน
ไม่มีใครเรียกร้องให้สอบจริยธรรม
และนั่นอาจหมายความว่า “ความปกติ” ของการเมืองท้องถิ่นไทย คือการปล่อยให้คนผิดยังคงมีอำนาจต่อไป อย่างนั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้เราได้เห็นปัญหาการคุกคามทางเพศระดับสส.พรรคก้าวไกลสองคน คือวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี และ ปูอัด ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. ก่อนถูกขับออก แยกย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น แต่ยังมีพฤติกรรมทำผิดซ้ำที่รุนแรงกว่าเดิมจาก กรณี สส.ปูอัด ถูกดำเนินคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่จังหวัดเชียงใหม่
⸻
✳ ถึงเวลาไล่คนไม่เหมาะสมออกจากพื้นที่อำนาจ
คดีนี้ไม่ควรจบแค่การแจ้งความและการไต่สวนของตำรวจ
แต่มันควรถูกขยับสู่คำถามใหญ่กว่า:
“เราจะเชื่อใจใครได้อย่างไรในสนามการเมืองท้องถิ่น ที่ไม่มีระบบคัดกรองพฤติกรรมหรือกลไกถ่วงดุลที่จริงจัง?”
ประชาชนมักไม่มีทางรู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มและคำหาเสียงคืออะไร
เรารู้แค่ว่าเขาคือคนในพื้นที่
เรารู้ว่าเขาเคยมีตำแหน่ง
เรารู้ว่าเขาแจกของ
แต่เราไม่รู้เลยว่าเขาเคารพในสิทธิของผู้อื่นมากแค่ไหน
หากสังคมยังมองว่าการเมืองท้องถิ่นเป็นเรื่องเล็ก เป็นเวทีของการ “แบ่งงานแบ่งเงิน” มากกว่า “ความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้คน” เราก็จะยังคงเห็นผู้ชายแบบนี้เข้าไปนั่งในสภา และเหยื่อคนถัดไปอาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนีออกจากห้อง
เราอาจไม่มีเครื่องตรวจจับศีลธรรมในวันเลือกตั้ง
แต่เรามีเสียง
เรามีกล้อง
และเรามีความจำ
แต่นั่นเพียงพอหรือไม่?
⸻
ข้อเสนอเพื่อไม่ให้ความเงียบกลืนกินระบบ
แค่ความจำอย่างเดียวไม่พอ — เราต้องการระบบที่กลั่นกรองคนที่อาสาเข้ามาใช้อำนาจตั้งแต่แรก
• ควรมีระบบตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้สมัคร ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ ตามกฎหมาย
• ควรมีกลไกภาคประชาชนที่ทำหน้าที่เป็น watchdog อย่างเป็นระบบ
อาจเป็น NGO ที่ทำงานร่วมกับ กกต. หรือองค์กรอิสระอื่น
มีอำนาจรวบรวมข้อมูลจากประชาชน กลั่นกรอง และเปิดเผย อย่างมีหลักฐาน
เพื่อป้องกันไม่ให้ “คนมีประวัติฉาว” เข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องใช้ความไว้วางใจของสังคม
นี่ไม่ใช่การล่าแม่มด
แต่นี่คือการทำให้การเมืองเป็นเรื่องของคนดีที่พิสูจน์ได้ ร่อนตะแกรงพวกแฝงตัวมาใช้อำนาจฟอกขาวให้กับตัวเอง
และเพื่อให้คำว่า “ตัวแทนประชาชน” มีความหมายมากกว่าตำแหน่งในนามบัตร
#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #สจหื่น #ตัวแทนปชช #ผู้นำท้องถิ่น