
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนต่อเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยสนับสนุนฉันทามติหยุดยิงที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของอาเซียน นี่ไม่ใช่แค่ท่าทีทางการทูตตามปกติ แต่สะท้อนยุทธศาสตร์เชิงลึกของจีนในภูมิรัฐศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการจัดวางบทบาทอย่างรอบคอบ
1. จีนในฐานะ “ผู้ประสานเงียบ” (Quiet Coordinator): ไม่เสนอแผน แต่ไม่ถอยจากเวที
แม้จีนจะมีบทบาทในระดับโลกในฐานะสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และคู่แข่งหลักของสหรัฐฯ ในเวทีนานาชาติ แต่ในการจัดการกับความขัดแย้งไทย–กัมพูชา จีนกลับเลือกแสดงบทบาทที่ “เบื้องหลัง” โดยให้การสนับสนุนฉันทามติที่อาเซียน (นำโดยมาเลเซีย) เป็นผู้ประสานงานหลัก
ตัวอย่างที่ใกล้เคียงในอดีต:
- กรณีทะเลจีนใต้ จีนกลับ ไม่ยอมรับอำนาจศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (PCA) ที่ตัดสินให้จีนไม่มีสิทธิ์เหนือพื้นที่พิพาทกับฟิลิปปินส์ (ปี 2016) แต่ในกรณีไทย–กัมพูชา จีนเลือกสงวนท่าทีและ หลีกเลี่ยงการปรากฏตัวเป็นผู้นำเจรจา
ท่าทีนี้จึงไม่ใช่ความเฉยเมย แต่คือยุทธศาสตร์ “วางตัวเป็นผู้ประสาน” (coordinator) ที่พร้อมเข้าร่วม หากถูกเชิญ มากกว่าที่จะเข้าไป “คุมเกม”

2. หนุนอาเซียนเพื่อผลักดันภาพ “มหาอำนาจที่เคารพกฎภูมิภาค”
แถลงการณ์ของสถานทูตจีนชี้ชัดว่า จีนสนับสนุนบทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนหมุนเวียน ในการดำเนินการไกล่เกลี่ยระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะการพบหารือเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่ฉันทามติหยุดยิง
แม้จีนจะมีโครงการขนาดใหญ่เช่น Belt and Road Initiative (BRI) ที่มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือครอบงำทางเศรษฐกิจ แต่ในการเจรจานี้ จีนไม่ได้นำเสนอกลไกของตน เช่น Shanghai Cooperation Organisation หรือแผนการรักษาสันติภาพจีนเอง
เทียบกับยุทธศาสตร์จีนในแอฟริกา:
- จีนมักเสนอ peacekeeping missions และ infrastructure swap โดยตรง
- แต่ในอาเซียน จีนกลับลงทุน “ภาพลักษณ์” ผ่านการหนุนกลไกอาเซียน แทนที่จะเสนอระบบใหม่
นี่คือการวางยุทธศาสตร์ “อยู่ร่วมกับโครงสร้างที่มีอยู่” เพื่อป้องกัน backlash และรักษา “ASEAN centrality” ในแบบที่จีนยังมีบทบาทอยู่เบื้องหลัง

3. “ใกล้ชิดทั้งสองฝ่าย” แต่ไม่เข้าข้างใคร: การสร้างสมดุลผ่านมิตรภาพยุทธศาสตร์
แถลงการณ์ใช้คำว่า “มิตรประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดของทั้งกัมพูชาและไทย” ซึ่งมีความหมายมากกว่าแค่ถ้อยคำทูต เพราะในเชิงประวัติศาสตร์:
- จีนมีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์กับกัมพูชา อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในยุคฮุนเซน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือทางทหารและโครงสร้างพื้นฐานจากจีนอย่างต่อเนื่อง
- ด้านไทย จีนมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจมหาศาล เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง และการค้าชายแดน
ท่าที “ไม่เทฝั่ง” จึงเป็นสิ่งจำเป็นทางยุทธศาสตร์ และ แสดงถึงการรักษาอิทธิพลในทั้งสองประเทศ ผ่านความเป็นกลางอย่างตั้งใจ ไม่ใช่เฉยเมย
4. Positive Signaling: คำพูดแบบนุ่มนวล แต่มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์
ถ้อยคำในแถลงการณ์จีนเลือกใช้ถ้อยคำ “เชิงสนับสนุน” แทนที่จะใช้ภาษาทางการทูตเชิงแข็ง เช่น:
- “ยินดี”
- “สนับสนุน”
- “ดำเนินบทบาทอย่างสร้างสรรค์”
ที่สำคัญ ไม่มีการกล่าวถึงข้อกล่าวหาของฝ่ายไทยที่ชี้ว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สะท้อนว่า จีนเลือกไม่ให้คุณค่ากับ narrative ใด narrative หนึ่ง — เพื่อป้องกันการสูญเสียอิทธิพลในประเทศใดประเทศหนึ่งในภายหลัง
เทียบกับสหรัฐฯ หรือญี่ปุ่น:
- ทั้งสองประเทศอาจเลือกสนับสนุนประเทศใดประเทศหนึ่งโดยตรง (เช่น ฟิลิปปินส์ในกรณีทะเลจีนใต้)
- จีนกลับเลือก “พูดให้ครบ” ทุกฝ่าย และรอการขอความช่วยเหลือจากทั้งสองก่อนจะขยับ
5. ASEAN เป็นเวทีที่จีน “ให้เล่น” — แต่ต้องไม่เป็นเวทีที่ไร้จีน
แถลงการณ์ไม่ได้เสนอให้ตั้งเวทีใหม่หรือเสนอ peacekeeping force ของจีน แต่ให้ความสำคัญกับ กลไกของอาเซียนที่จีนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างไม่เป็นทางการ
ตัวอย่างที่เป็นไปได้ เช่น:
- การตั้ง “Joint Peace Observation Team” ภายใต้ความร่วมมือ ASEAN+1 (เช่นที่เคยมี ASEAN+China สำหรับความร่วมมือด้านทะเล)
- การเจรจาระดับทวิภาคีคู่ขนานภายใต้ร่ม ASEAN โดยจีนเข้าร่วมในฐานะ “ผู้สนับสนุน” ไม่ใช่ “ผู้นำ”
จีนจึงอาจไม่ต้องการกำกับเวที แต่ต้องการ อยู่ในเวทีทุกครั้งที่อาเซียนเจรจาเรื่องความมั่นคง ซึ่งเท่ากับกันไม่ให้สหรัฐฯ หรือกลุ่ม Quad (ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อินเดีย, สหรัฐฯ) เข้ามาเล่นเดี่ยวในพื้นที่นี้
บทสรุป: จีนในอาเซียนคือ “ผู้ประสานเบื้องหลัง” ที่ไม่ยอมเป็นคนนอก
แถลงการณ์ฉบับนี้ของสถานทูตจีนไม่ใช่เพียงการทูตเชิงพิธีกรรม แต่คือ:
- การวางยุทธศาสตร์ soft balancing กับมหาอำนาจตะวันตก
- การ ลงทุนทางความสัมพันธ์ กับทั้งสองประเทศคู่กรณี
- และการ รักษาพื้นที่ทางอิทธิพลในอาเซียน โดยไม่ดันตัวเองขึ้นหน้าเวที
จีนไม่จำเป็นต้อง “เป็นเจ้าภาพใหญ่” ตราบใดที่ยัง “อยู่ในงานเลี้ยง”