เพจฤา ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 1.6 แสนคน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับนโยบาย “กาสิโน” ของรัฐบาลในอดีต ไว้ดังนี้ ในขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงมองเห็นถึงพิษภัยของการพนัน ที่มีต่อพสกนิกรของพระองค์ แม้จะสร้างรายได้จำนวนมากให้แผ่นดินก็ตาม พระองค์ก็ไม่ได้ทรงเห็นงาม หาหนทางที่จะลด และเลิก มาตลอด แต่นักการเมืองนั้น กลับทำตรงกันข้าม พยายามมาตลอดที่จะให้มีสถานการพนัน บ่อนเกิดขึ้นให้จงได้ ไม่ว่าจะยุคจะสมัยใด
………………………………………………………………………………………………………………..
เมื่อกว่า ร้อยปีก่อน ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นถึงภัยของการพนัน โดยมีพระราชหัตถเลขาถึง กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังนี้
จุฬาลงกรณ์ ปร.
VITA NOBEL
SAN REMO
ถึงกรมดำรง ฉันได้ส่งของที่รลึกมอนติกาโล คือเหรียญร้อยแฟรงก์ที่เขาสำหรับเล่นเบี้ยกัน ๓ เหรียญ หม้อมูตรลงยา ๔ หม้อ ตุ้มหู้ไข่นกการเวก ๑ คู่ มาโดยบุกโปสต ขอให้ส่งให้เจ้าสาย
ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย
สนุกยิ่งกว่าอไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ
ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร
ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง
จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก
ได้จดหมายเรื่องราวมาที่หญิงน้อย เมื่ออยากทราบก็ให้ขอดูเถิด
สยามินทร์
พ.ศ. 2456 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชดำริที่จะชักนำประชาชนให้เลิกอบายมุข จึงได้มีการตั้งคลังออมสินขึ้น เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนได้ริเริ่มการออมเงินแทนการเล่นพนัน และต่อจากนั้นอีก 3 ปี ก็มีการเลิกหวย ก.ข. และเลิกบ่อนเบี้ยในที่สุด ซึ่งในปีนั้นเศรษฐกิจยังดีอยู่มาก
พ.ศ. 2461 เจอปัญหากักกันข้าว พร้อมกับราคาดีบุกตกต่ำ ประเทศขาดเงินรายได้หลายล้าน กลายเป็นปัญหากลุ้มรุมชนิดผีซ้ำด้ำพลอย ลากยาวมาถึงปี พ.ศ. 2469
พ.ศ. 2473 ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการออก พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2473 จุดประสงค์เพื่อควบคุมการเล่น และค่อย ๆ จำกัดให้ลดน้อยลง แต่แล้วก็มีการยกเลิก พ.ร.บ. ฉบับนั้นไป
พ.ศ. 2478 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลใหม่พยายามเปิดเสรีให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ ด้วยการออก “พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงื่อนไขการพนันตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478” เป็นกฎหมายฉบับแรก ที่รัฐบาลริเริ่มให้มีบ่อนการพนันที่จัดการโดยรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
พ.ศ. 2481 ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการเปิดสถานกาสิโนถึง 5 แห่ง ที่หัวหิน ลพบุรี พิษณุโลก หนองคาย และเบตง สร้างรายได้มากมายจนมีการขยายเพิ่มอีกเป็น 11 แห่ง คือ หัวหิน เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ตราด สงขลา ภูเก็ต เบตง และสุไหงโกลก ซึ่งไม่ปรากฏรายละเอียดว่าดำเนินการอย่างไรบ้าง เว้นก็แต่ที่หัวหิน และสงขลา ท่านรัฐมนตรีการคลังในสมัยนั้นคือ ปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางไปเปิดด้วยตนเองทีเดียว
แต่สุดท้าย สถานกาสิโนเหล่านี้ก็ได้เงียบหายไป
พ.ศ. 2488 เกิดเหตุภาวะเงินเฟ้อระหว่างสงคราม รัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ จึงดำริที่จะดำเนินการดูดเงินคืนออกจากระบบ เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ จึงได้ปัดฝุ่น พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 ออกมาใช้ และจัดตั้งสถานกาสิโนขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ปรากฎว่า เพียง 82 วัน เฉพาะในกรุงเทพ ทำรายได้จากสถานกาสิโนถึง 12.94 ล้านบาท หรือ 22.8% ของงบประมาณรายได้ประจำเดือน ซึ่งถ้ารวมกาสิโนทั้งประเทศ ทำรายได้กว่า 24.13 ล้านบาท เรียกได้ว่าทำเงินถล่มทลาย
แต่สุดท้าย สถานกาสิโนดังกล่าวก็ต้องปิดตัวลง เนื่องจากประชาชนเล่นการพนันกันจนหมดเนื้อหมดตัว บางรายถึงกับฆ่าตัวตาย
และความพยายามครั้งล่าสุด พ.ศ. 2568 ก็ได้ผ่านการเห็นชอบจากรัฐบาลไปเรียบร้อย……เปลี่ยนชื่อเรียกจากกาสิโนที่ดูแย่ เป็น เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์
เมื่อเวลาผ่านไปอีกสิบปี ร้อยปี การกระทำของรัฐบาลชุดนี้ จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ ว่าด้วยรัฐบาลที่นำการพนันขึ้นมาให้ถูกกฎหมาย เพียงเพราะต้องการหารายได้มาเพื่อตอบสนองนโยบายเอาใจประชาชนเท่านั้น
เป็นการให้ข้อมูลหลัง ครม.เพิ่งมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.เอ็นตเรอ์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะมีกาสิโนรวมอยู่ด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างให้กฤษฎีกาไปดูรายละเอียดเนื้อหาร่างกฎหมายว่าจะมีการปรับปรุง เพิ่มเติมอย่างไรหรือไม่ ก่อนจะนำกลับเข้าสู่การพิจารณาของครม. โดยมีเป้าหมายอยากให้ผ่านสภาฯ วาระแรกในสมัยประชุมนี้