Author: Writer Publisher

เป็นจดหมายรณรงค์ของสภาองค์กรของผู้บริโภค ที่ขอรวมรายชื่อเครือข่ายนักวิชาการ สื่อชุมชน ผู้บริโภค และกลุ่มเพื่อนพิรงรอง ร่วมให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีวันพรุ่งนี้ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน จะอ่านคำพิพากษาคดีที่ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ ถูกฟ้องในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีที่สำนักงาน กสทช. ออกหนังสือถึงผู้รับใบอนุญาตกิจการโทรทัศน์ประเภทช่องรายการเพื่อสอบถาม และให้ตรวจสอบการให้บริการโดยต้องไม่มีการแทรกเนื้อหาใด ๆ ตามกฎมัสต์ แคร์รี่ (must carry) แต่ในกรณีโจทก์มิได้เป็นผู้รับใบอนุญาตจึงฟ้องว่า หนังสือดังกล่าวทำให้ได้รับความเสียหายและอาจส่งผลให้ถูกระงับการเผยแพร่รายการต่าง ๆ และอ้างว่า กสทช.ไม่มีระเบียบเฉพาะในการกำกับดูแลกิจการ OTT (Over the TOP หรือการให้บริการเนื้อหาผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต) ซึ่งโจทก์อ้างเป็น OTT จึงไม่ต้องรับใบอนุญาตจาก กสทช. ขณะที่ศาสตราจารย์ กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ยืนยันการทำหน้าที่ในการคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แทรกโฆษณาในช่องรายการทีวีที่นำไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต หลังมีข้อร้องเรียนเข้ามายัง กสทช. และเพื่อดูแลลิขสิทธิ์ผู้ให้บริการโทรทัศน์ดิจิทัลให้เกิดการแข่งขันเสรี และเป็นธรรม นอกจากนี้ในฐานะ กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. พิรงรองได้พยายามพัฒนา ส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมและผู้ผลิตสื่อ รายการคุณภาพ รายการส่งเสริมความหลากหลายของสังคม เอกลักษณ์ท้องถิ่น และประเด็นเชิงวัฒนธรรม ในจดหมายบอกด้วยว่า เครือข่ายนักวิชาการ ตัวแทนสื่อชุมชน และกลุ่มผู้บริโภค จึงแสดงความห่วงใย ให้กำลังใจ และสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของ ศาสตราจารย์ กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ให้ยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ กสทช. จนครบวาระและเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมจะเป็นที่พึ่งหลักให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำรงตนและปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค และประโยชน์สาธารณะอย่างเข้มแข็ง พร้อมกับขอให้ผู้เห็นด้วย และประสงค์จะร่วมลงนามสนับสนุนลงนามได้ฟอร์ม ก่อนเวลา 12:00 น. (เที่ยงตรง) ของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 และร่วมระดมข้อเสนอแนะต่อการกำกับดูแลเนื้อหา หรือแบ่งปันประสบการณ์ของการใช้สื่อและเนื้อหา OTT ได้

Read More

ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ยังคงเป็นวิกฤตที่คนไทยต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ค่าฝุ่นมักพุ่งเกินมาตรฐานส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตประชาชน ล่าสุด สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ออกมาเปิดเผยผลการตรวจสอบการดำเนินงานแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2562-2567) ซึ่งน่าตกใจว่ามาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐดำเนินการไปนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน แถมยังใช้งบประมาณไม่คุ้มค่าอีกด้วย ข้อมูลจากนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษก สตง. ระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่าปัญหา PM2.5 ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคการเกษตร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินงานของภาครัฐที่ผ่านมายังไม่ตรงจุดและขาดการบูรณาการอย่างแท้จริง ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน สตง. พบว่าโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหา PM2.5 ขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ไม่มีการติดตามและประเมินผล อย่างต่อเนื่อง ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า เช่น การจัดซื้อเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ไม่ได้ใช้งาน การปลูกป่าในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม และการส่งเสริมอาชีพที่ไม่สามารถลดปัญหาการเผาป่าได้ สำหรับกรุงเทพมหานคร สตง. พบว่าการดำเนินงานเพื่อเฝ้าระวังปริมาณมลพิษในอากาศไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยการตรวจวัดคุณภาพอากาศยังไม่ต่อเนื่อง และปริมาณมลพิษในอากาศยังเกินมาตรฐานที่กำหนด ขณะที่ภาคการเกษตร ปัญหาอ้อยไฟไหม้ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 ซึ่ง สตง. พบว่ามาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่บรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยปริมาณอ้อยไฟไหม้ยังคงสูงกว่าเป้าหมายทุกปี จากการตรวจสอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรตัดอ้อยสด พบว่าเกษตรกรที่ได้รับเงินช่วยเหลือยังคงเผาอ้อยในฤดูการผลิตถัดมา สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐดำเนินการไปยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน สตง. แนะรัฐบาลปรับแผนแก้ไข PM2.5สตง. ได้ให้ข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปรับปรุงการดำเนินงาน โดยเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สตง. ยังคงให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยจะตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ว่าเป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และวัตถุประสงค์หรือไม่ ผลการตรวจสอบของ สตง. สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จและใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า ดังนั้น รัฐบาลควรทบทวนและปรับปรุงมาตรการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด และการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไทยได้มีอากาศที่สะอาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

Read More

กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ทันที หลังแพทย์หญิงณัฐกานต์ ชื่นชม อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nuttagarn Chuenchom ระบุว่า ผู้บริหารบอกว่าให้หมอเบียร์รับตรวจเคสวัณโรคกับเอชไอวีในศูนย์อพยพ เพราะ รพช. ไม่สามารถดูแลได้ จะให้รถโรงพยาบาลไปรับคนไข้เอามาให้ตรวจที่แม่สอด ..โดยไม่ดูภาระงานที่ทำอยู่ตอนนี้เลย ไม่ผิดคาดนะ ที่จะเป็นแบบนี้ เบียร์คิดมาหลายวันแล้ว .. ให้เวลาอีกครึ่งวัน ถ้าผู้บริหารยังไม่เปลี่ยนแนวคิด จะไปเขียนใบลาออกราชการวันนี้แหละ อายุราชการ 20 ปีก็อุทิศตนมามากพอละ ไม่มีวินาทีไหนเลยที่ไม่ทำเพื่อผู้อื่น บอกอยู่ตลอดว่าศูนย์อพยพเป็นเรื่องของประเทศไทย ไม่ใช่สาธารณสุขท้องถิ่น คนไทยชายแดนเสียประโยชน์มาเยอะแล้ว ได้รับบริการช้า เสียเวลารอนาน ยังต้องแบ่งหมอของพวกเขาไปให้คนอื่นอีกหรอ ส่วนกลางโน่นต้องมาจัดการ ไม่ทนอีกต่อไป.. ลาก่อนละค่ะ ไม่เพียงแค่นั้น “หมอเบียร์” ยังโพสต์เพิ่มเติมว่า เรื่องของการจัดการค่ายผู้อพยพไม่ใช่เรื่องของสาธารณสุขท้องถิ่น มันเป็นเรื่องระดับชาติ เป็นเรื่องการจัดการของรัฐบาล การแก้ไขกฎหมาย การผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศเดิม พร้อมเสนอความเห็นว่าต้องจัดบุคลากรอีกชุดหนึ่งเพื่อมาดูแลค่ายอพยพ ในช่วงเร่งด่วน แนะนำให้เขาหางบประมาณมาจ้างหมอเมียนมากลุ่มเดิมที่เคยดูแลอยู่แล้วระหว่างรองบประมาณใหม่ แต่เค้าไม่ทำแบบนั้น เค้ามาแบ่งหมอจากโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลทั่วไปไปออกตรวจ จำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดเท่ากับประชากรหนึ่งอำเภอเลย ในระยะยาวต้องพูดคุยเรื่องการแก้กฎหมายผู้ลี้ภัยให้ถูกต้อง และมีการผลักดันกลับประเทศเดิม คนไทยชายแดนเสียสละมามากพอแล้ว ทุกวันนี้บุคลากรก็ไม่พอ คนไข้ก็ต้องรอนาน รอทุกอย่างทั้งรอหมอและรอคิวในการตรวจ บางคนเป็นมะเร็งก็ต้องรอการวินิจฉัยและการรักษา แล้วจะมาให้เค้าเสียสละเพิ่มโดยการแบ่งหมอของพวกเขาไปให้คนอื่นอีกหรอคะ

Read More

นายสินธ์ กีรตยาคม อดีตกำนันตำบลสำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง นำชาวบ้าน 473 ครัวเรือนที่อาศัยในพื้นที่ของกรมป่าไม้ ร้องเรียนต่อสื่อมวลชน หลังถูกตัดไฟฟ้ามานานกว่า 2 ปี สร้างความเดือดร้อนอย่างหนัก วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไข นายสินธ์ กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่นี้ประสบปัญหาไม่มีไฟฟ้าใช้มานานหลายสิบปี ที่ผ่านมาได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และกรมป่าไม้ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า กระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน การไฟฟ้าได้เข้ามาตัดไฟฟ้าของชาวบ้าน ทำให้ปัจจุบันชาวบ้านกว่า 473 ครัวเรือนต้องอยู่อย่างยากลำบาก ไม่มีไฟฟ้าใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน “พวกเราชาวบ้านที่นี่ลำบากมาก ไม่มีไฟฟ้าใช้มานานกว่า 2 ปีแล้ว ตอนกลางวันก็ต้องทนร้อน ตอนกลางคืนก็ต้องอยู่กับความมืดมิด เด็กๆ ก็ไม่มีไฟฟ้าอ่านหนังสือทำการบ้าน พวกเราอยากวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือพวกเราด้วย” นายสินธ์ กล่าว ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน กล่าวว่า ตนรู้สึกเห็นใจกับความเดือดร้อนของชาวบ้านกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก การที่ชาวบ้านเกือบ 500 ครัวเรือนต้องอยู่อย่างยากลำบาก ไม่มีไฟฟ้าใช้ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม จะนำเรื่องนี้ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การไฟฟ้าเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านโดยเร็วที่สุด “ผมรู้สึกงงมาก ที่ผ่านมาเห็นข่าวว่าการไฟฟ้ากล้าจ่ายไฟให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ตามแนวชายแดน แต่กับชาวบ้านที่อยู่ในแผ่นดินไทยแท้ๆ กลับไม่ให้ใช้ไฟฟ้า ผมว่ามันไม่ถูกต้อง” นายวัชระ กล่าว ทั้งนี้ ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกตัดไฟฟ้า ได้รวมตัวกันลงรายชื่อเพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านโดยเร็วที่สุด ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

อย่าอ้างนายกฯ พึ่งทำงาน เพราะเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมาเกือบ 2 ปีแล้ว วันนี้ 4 ก.พ. 68 ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะปธ.คกก.ประสานงานวิปฝ่ายค้าน ได้กล่าวถึง วาระการประชุมในวันพรุ่งนี้ (5 ก.พ.) ว่าจะมีการพิจารณากฎหมายหลายฉบับที่ผ่านการพิจารณาของกรรมาธิการแล้ว เช่น พ.ร.บ.ชาติพันธุ์, พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจะมีการอภิปรายและกระทู้ถามสดจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน หลังจากนี้จะมีการนัดดินเนอร์(ประชุม) พรรคร่วมฝ่ายค้านในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่พรรคไทยสร้างไทย เพื่อเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยจะมีการพูดคุยเรื่องการทำงานร่วมกันในฐานะฝ่ายค้าน ในส่วนของการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ คาดว่าจะไม่เกิดปัญหาข้อมูลรั่วไหลเหมือนครั้งก่อน เพราะไม่ต้องส่งไฟล์ให้ประธานตรวจสอบล่วงหน้า และมั่นใจว่าไม่มี “หนอนบ่อนไส้” ในพรรคฝ่ายค้าน ประเด็นการอภิปรายจะเน้นที่พฤติการณ์ของรัฐบาลในการดำเนินการตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม โดยไม่จำเป็นต้องเน้นบุคคล โดยจะมีกรอบระยะเวลาในการอภิปราย ในเดือนมีนาคม 2568 แต่ต้องมีการหารือกับวิปรัฐบาลเกี่ยวกับวันและเวลาที่แน่นอนก่อน การดำเนินการต่อหลังการอภิปราย พรรคฝ่ายค้านจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับการยื่นข้อเสนอต่อองค์กรอิสระหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ, โดยจะพิจารณาเรื่องการดำเนินการต่อไปตามสถานการณ์ต่อไป ทั้งนี้ นายปกรณ์วุฒิยังเน้นว่า การอภิปรายในครั้งนี้จะครอบคลุมหลายประเด็น เช่น ความมั่นคง เศรษฐกิจ และกระบวนการยุติธรรม ไม่จำกัดแค่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง

Read More

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ The Publisher ถึงนโยบาย “ทรัมป์” ที่เริ่มเดินหน้าทำสงครามภาษีกับหลายประเทศแล้ว โดยวันนี้เริ่มที่ประเทศจีนก่อน ด้วยการเก็บภาษีนำเข้า 10 %และชะลอการเก็บภาษี 25% ของแคนาดาและเม็กซิโก ออกไป 30 วัน ว่า การตั้งอัตราภาษีที่สูงขึ้นมาก 10-25 % สร้างความกังวลใจและความตื่นตระหนกต่อการค้าการลงทุนทั้งระยะกลางและระยะยาวไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเจรจาต่อรองอย่างเข้มข้น เช่นแคนาดา เม็กซิโก ก็มีการยืดเวลาออกไปเพื่อดูปฏิกริยาการจัดการปัญหาที่สหรัฐขอไป เช่น การจัดการพรมแดนเม็กซิโก และแคนาดาก็มีบัญชีที่สหรัฐต้องจ่ายภาษีแพงขึ้นมากพอสมควร จึงมีการเจรจาและขยับเวลาในการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ออกไป ทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่หลายประเทศก็ยังต้องส่งคณะไปเจรจาเพื่อทำตามนโยบายใหม่สหรัฐ “ผมเรียกว่าเป็นนโยบายเขย่าและบีบ เขย่าให้พันธมิตรที่ใกล้ตัวติดพรมแดนตอนเหนือแคนาดา ตอนใต้เม็กซิโก ปานามา และ อื่น ๆ ที่มีข้อตกลงการค้าเสรีแต่ทำให้สหรัฐเสียเปรียบเรื่องการค้า รวมทั้งพันธมิตรในยุโรป และการทหารที่สหรัฐไปป้องกันภัยคุกคามให้ กลุ่มเหล่านี้จะโดนเขย่าและบีบเป็นอันดับแรก รวมทั้งจีน ซึ่งมีการเจครจาต่อรองมาแต่แรก ควบคู่กับญี่ปุ่นตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ทรัมป์หาเสียงประกาศจะมีขึ้นภาษี จึงทำให้ประสบความสำเร็จในการเจรจาก่อนทรัมป์รับตำแหน่งปธน. ทำให้อัตราภาษีของจีนต่ำกว่าที่มีการคาดหมาย หรือไม่เห็นตัวเลขของญี่ปุ่นเลย เพราะอาจเจรจาสำเร็จไปก่อนหน้านั้นแล้ว แสดงให้เห็นว่าการเจรจากับทีมพิเศษของทรัมป์มีความสำคัญ แต่ก็เป็นปัญหากับหลายประเทศที่เข้าไม่ถึงทีมพิเศษเหล่านี้ รวมทั้งไทยอาจจะเสียเปรียบกว่าประเทศที่เจาะถึงทีมพิเศษของสหรัฐ จึงต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการเจรจาใหม่“ รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว นักวิชาการด้านความมั่นคงและต่างประเทศ ให้คำแนะนำว่า การเจรเจาเพื่อลดกำแพงภาษี คือไปขอให้เขาขาดทุนน้อยลงแต่ยังขาดทุนอยู่ดี ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการพูดคุยไม่ดี เพราะเขาคิดว่าเราเอาเปรียบ ดังนั้นในการเจรจาจะต้องเสนอสิ่งที่อเมริกาได้ประโยชน์ให้ชัดเจนว่าจะมีอะไรบ้างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เช่น เสนอความร่วมมือหรือความช่วยเหลือบางรูปแบบที่เราไม่ลำบากนัก อาทิ เรื่องความมั่นคง เรื่องการก่อการร้าย การเป็นพันธมิตรหลักหนึ่งในห้าประเทศของภูมิภาคตามสนธิสัญญาทางความมั่นคงและการทหาร ซึ่งหลายประเทศก็ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้จนไม่ปรากฏว่าถูกขั้นภาษีอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ จึงอาจต้องใช้นโยบายเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เมื่อประสบความสำเร็จในการกระชับความร่วมมือก็สามารถเปิดเจรจาต่อไป เพราะขณะนี้มีความแปรปรวนมากในสหรัฐจากการปรับระบบและนโยบาย จึงเกิดความสับสน การเจรจาในช่วงนี้อาจไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง และอาจมีความสุ่มเสี่ยงสูงขึ้น ความจริงต้องทำก่อนหน้านี้แล้ว โดยอาศัยความสัมพันธ์พิเศษ แต่เราก็ไม่สามารถทำได้ ”ถ้าไปเจรจาควรเสนอความร่วมมือเช่นการซ่อมบำรุงเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินหรือเรือรบของสหรัฐที่จอดอยู่สิงคโปร์และมีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งรมว.กลาโหมของสหรัฐต้องการปราบปรามการทุจริตเหล่านี้ มีคดีความที่เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์และบางบริษัทที่อยู่ในไทยเรื่องความรั่วไหล เราสามารถอาสาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ รวมทั้งการขยายความร่วมมือทางการทหารให้เข้มแข็งควบคู่กับความร่วมมือทางทหารกับจีนไปด้วยทั้งเรื่องทางทะเล และเรือดำน้ำ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งมีส่วนป้องกันปัญหาภัยคุกคามต่าง ๆ โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับจีน ซึ่งความจริงเรากับสหรัฐมีข้อตกลงเดิมอยู่แล้วแต่เราไม่ค่อยทำ ทำให้ถูกด้อยค่าเขามองว่าเราไม่มีประโยชน์กับเขา รัฐบาลไทยต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่าอาจไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ เพราะเรามีบัญชีสินค้ามากกว่า…

Read More

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2/2568 ร่วมกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการป้องกันและควบคุมโรคจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 โดยกำหนดเขตพื้นที่เฝ้าระวังและควบคุมเป็น 2 ระดับ ได้แก่ เขตพื้นที่เฝ้าระวังและป้องกันโรค: ค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม. แต่ไม่เกิน 75 มคก./ลบ.ม. มาตรการสำคัญคือ สนับสนุนหน้ากากอนามัยแก่กลุ่มเปราะบาง จัดเตรียมพื้นที่ปลอดฝุ่นในอาคารสถานที่ต่างๆ เขตพื้นที่ควบคุมโรค: ค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง เกิน 75 มคก./ลบ.ม. มาตรการเพิ่มเติมจากระดับแรกคือ หน่วยงานภาครัฐพิจารณาปรับรูปแบบการทำงานเป็น Work from home งดกิจกรรมกลางแจ้งต่อเนื่อง ภาคเอกชนพิจารณาปรับรูปแบบการทำงานตามความเหมาะสม บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ใช้กลไกทางกฎหมายตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ. ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติม 5 ข้อ สำหรับเขตพื้นที่ควบคุมโรค ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเปิดศูนย์รองรับการอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้ป่วยติดเตียง ให้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแจ้งเตือนประชาชนเมื่อค่าฝุ่นเกิน 75 มคก./ลบ.ม. ผ่านช่องทางต่างๆ ผู้นำชุมชนสื่อสารผ่านเสียงตามสาย อสม. เคาะประตูบ้านให้ความรู้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเตือนผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจให้ป้องกันตนเอง, เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือ อสม. คัดกรองสุขภาพประชาชนเชิงรุกด้วยแบบสอบถามออนไลน์และเก็บพิกัดบ้านผู้ที่ได้รับการคัดกรอง นำพิกัดจากคลินิกมลพิษออนไลน์ไปคัดกรองสุขภาพประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง,หน่วยบริการสุขภาพคัดกรองผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีอาการจากฝุ่น PM2.5 เพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์วินิจฉัยโรค และให้เจ้าบ้านหรือผู้ควบคุมดูแลสถานที่ต่างๆ แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อพบผู้ที่สงสัยว่ามีอาการป่วยจากฝุ่น PM2.5

Read More

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พูดถึงการลงพื้นที่ชายแดนของ นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน และความร่วมมือแก้ปัญหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฉ้อโกงออนไลน์ และการพนัน ซึ่งนายหลิวจะได้พบกับหลายหน่วย ว่าในส่วนของกระทรวงยุติธรรมถือเป็นวาระเร่งด่วนที่อาจต้องยกระดับในการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี เป็นอาเซียนบวกจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นอกจากนี้นายหลิวยังได้ให้ข้อมูลที่เป็นวีดีโอการกระทำผิดของประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นศูนย์กลางของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงส่งเรื่องให้กับดีเอสไอ และ ปปส.ขยายผล สำหรับมาตรการทางกฎหมาย ก็มี พ.ร.บ.ความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะต้องดึงอัยการสูงสุดเข้ามาร่วม เพราะเหตุเกิดนอกราชอาณาจักร ให้สามารถดำเนินคดีได้ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกิดกับจีน และฮ่องกง ซึ่งไทยเป็นทางผ่าน สำหรับกระแสข่าวที่ว่าไทยไม่รู้ ทำให้จีนต้องมาจัดการเอง หรือไม่ดูแลคนในประเทศตัวเองนั้น พันตำรวจเอกทวีบอกทางการจีนไม่มาตำหนิ แต่มาขอบคุณ มาชื่นชม ที่รัฐบาลให้ความร่วมมืออย่างดี โดยเฉพาะการสกัดกั้นช่วยเหลือคนจากจีน เพราะการหลอกลวงไม่ได้เกิดจากคนไทย แต่เป็นคนชาติเดียวหลอกลวงด้วย “วันนี้การหลอกลวงเป็นยุคดิจิตอล จะต้องใช้ภาษาเดียวกัน คนที่จะหลอกคนจีนก็ต้องใช้ภาษาจีน ต้องเป็นคนจีนด้วยกัน จะหลอกลวงคนญี่ปุ่นหรือคนเกาหลีใต้ก็ต้องใช้ภาษานั้น สิ่งสำคัญคือต้องยกระดับความปลอดภัยของอาเซียน และทุกประเทศจะต้องให้ความสำคัญ” พันตำรวจเอกทวีระบุ

Read More

ในรายการสนธิเล่าเรื่อง โดย สนธิ ลิ้มทองกุล ตอน แม่สอด-เมียวดี : เส้นทางลับจีนเทา ได้พูดถึงเรื่องความคืบหน้าของคดีทนายตั้มและทนายเดชา ซึ่งสนธิ ก็ตอบให้ว่า “คนจริงไม่พูดเยอะ” ทั้งยังกล่าวถึงประเด็นที่ทนายตั้มถูกสภาทนายความสั่งระงับไม่ให้ว่าความ 3 ปี ปมกล่าวหาเพื่อนทนายเรียกรับผลประโยชน์จาก ผกก.โจ้ ถุงดำ นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ไม่ต้องการให้ทนายตั้มมีที่ยืนในสังคม พร้อมให้เหตุผลว่า “คนที่เรียนกฎหมายมา แต่อ้างว่าเป็นทนายปชช. แต่แท้จริงแล้วหลอกลวงปชช. แล้วยังมีเรื่องเก่า ๆ อีกเยอะ มีคนบอกว่า ทนายตั้มไม่เคยขึ้นศาล เรื่องจบที่อัยการทุกครั้ง อาจมีความสนิทสนมกับอัยการ หลายคดี มีหลายคดีที่ตร.ส่งไปยังอัยการ แต่อัยการไม่สั่งฟ้อง แต่คดีนี้เป็นคดีแรกที่สั่งฟ้อง” ตนจึงอยากลุยให้สุดทาง ซึ่งก่อนหน้านี้ “ทนายเดชา” หนึ่งในทีมทนายอเวนเจอร์ก็ได้ฟันธงอย่างมั่นใจว่า “คดีทนายตั้มจะหมดอายุความ” คุณสนธิ จึงถามกลับทนายเดชาว่า “ไม่คิดจะเป็นทนายให้นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ”

Read More

ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจประชาชนเรื่อง “กรุงเทพฯ เมืองในฝุ่น” ซึ่งทำการสำรวจระหว่างวันที่ 27-28 มกราคม 2568 จากประชาชน 1,310 ตัวอย่างในพื้นที่กรุงเทพฯ ผลสำรวจพบว่า 74.43% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าวิกฤตฝุ่น PM2.5 ในช่วงที่ผ่านมา “มีความรุนแรงมาก” รองลงมา 18.55% เห็นว่า “ค่อนข้างมีความรุนแรง“ 33.82% เห็นว่ามาตรการให้ปิดสถานศึกษาและทำงานที่บ้าน ช่วยแก้ไขปัญหาได้ “พอสมควร” ในขณะที่ 33.21% เห็นว่าช่วยได้ “น้อยมาก” และ 24.50% เห็นว่า “ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย” ขณะที่ 34.89% เห็นว่าการให้ประชาชนใช้บริการรถเมล์และรถไฟฟ้าฟรี 7 วัน ช่วยแก้ไขปัญหาได้ “น้อยมาก” และ 33.89% เห็นว่า “ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย” ด้านประสิทธิภาพรัฐ 41.15% เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหา PM2.5 ได้ “ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ” และ 35.34% เห็นว่า “ไม่มีประสิทธิภาพเลย” ส่วนหน่วยงานที่คาดหวัง ประชาชนคาดหวังให้หน่วยงานดังต่อไปนี้แก้ไขปัญหา PM2.5 ตามลำดับ 1. กรมควบคุมมลพิษ (41.15%)2. กรุงเทพมหานคร (34.27%)3. กรมฝนหลวงและการบินเกษตร (27.02%)4. กรมการขนส่งทางบก (20.23%) นอกจากนี้ ยังมีผู้ตอบแบบสอบถามอีก 17.56% ที่ระบุว่า “ไม่มีความหวังกับหน่วยงานราชการใดๆ” จากผลสำรวจนี้ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ มองว่าปัญหาวิกฤตฝุ่น PM2.5 ยังคงรุนแรงและหน่วยงานภาครัฐยังไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาเท่าที่ควร

Read More