รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ The Publisher ถึงนโยบาย “ทรัมป์” ที่เริ่มเดินหน้าทำสงครามภาษีกับหลายประเทศแล้ว โดยวันนี้เริ่มที่ประเทศจีนก่อน ด้วยการเก็บภาษีนำเข้า 10 %และชะลอการเก็บภาษี 25% ของแคนาดาและเม็กซิโก ออกไป 30 วัน ว่า การตั้งอัตราภาษีที่สูงขึ้นมาก 10-25 % สร้างความกังวลใจและความตื่นตระหนกต่อการค้าการลงทุนทั้งระยะกลางและระยะยาวไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเจรจาต่อรองอย่างเข้มข้น เช่นแคนาดา เม็กซิโก ก็มีการยืดเวลาออกไปเพื่อดูปฏิกริยาการจัดการปัญหาที่สหรัฐขอไป เช่น การจัดการพรมแดนเม็กซิโก และแคนาดาก็มีบัญชีที่สหรัฐต้องจ่ายภาษีแพงขึ้นมากพอสมควร จึงมีการเจรจาและขยับเวลาในการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ออกไป ทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่หลายประเทศก็ยังต้องส่งคณะไปเจรจาเพื่อทำตามนโยบายใหม่สหรัฐ
“ผมเรียกว่าเป็นนโยบายเขย่าและบีบ เขย่าให้พันธมิตรที่ใกล้ตัวติดพรมแดนตอนเหนือแคนาดา ตอนใต้เม็กซิโก ปานามา และ อื่น ๆ ที่มีข้อตกลงการค้าเสรีแต่ทำให้สหรัฐเสียเปรียบเรื่องการค้า รวมทั้งพันธมิตรในยุโรป และการทหารที่สหรัฐไปป้องกันภัยคุกคามให้ กลุ่มเหล่านี้จะโดนเขย่าและบีบเป็นอันดับแรก รวมทั้งจีน ซึ่งมีการเจครจาต่อรองมาแต่แรก ควบคู่กับญี่ปุ่นตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ทรัมป์หาเสียงประกาศจะมีขึ้นภาษี จึงทำให้ประสบความสำเร็จในการเจรจาก่อนทรัมป์รับตำแหน่งปธน. ทำให้อัตราภาษีของจีนต่ำกว่าที่มีการคาดหมาย หรือไม่เห็นตัวเลขของญี่ปุ่นเลย เพราะอาจเจรจาสำเร็จไปก่อนหน้านั้นแล้ว แสดงให้เห็นว่าการเจรจากับทีมพิเศษของทรัมป์มีความสำคัญ แต่ก็เป็นปัญหากับหลายประเทศที่เข้าไม่ถึงทีมพิเศษเหล่านี้ รวมทั้งไทยอาจจะเสียเปรียบกว่าประเทศที่เจาะถึงทีมพิเศษของสหรัฐ จึงต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการเจรจาใหม่“ รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว
นักวิชาการด้านความมั่นคงและต่างประเทศ ให้คำแนะนำว่า การเจรเจาเพื่อลดกำแพงภาษี คือไปขอให้เขาขาดทุนน้อยลงแต่ยังขาดทุนอยู่ดี ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการพูดคุยไม่ดี เพราะเขาคิดว่าเราเอาเปรียบ ดังนั้นในการเจรจาจะต้องเสนอสิ่งที่อเมริกาได้ประโยชน์ให้ชัดเจนว่าจะมีอะไรบ้างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เช่น เสนอความร่วมมือหรือความช่วยเหลือบางรูปแบบที่เราไม่ลำบากนัก อาทิ เรื่องความมั่นคง เรื่องการก่อการร้าย การเป็นพันธมิตรหลักหนึ่งในห้าประเทศของภูมิภาคตามสนธิสัญญาทางความมั่นคงและการทหาร ซึ่งหลายประเทศก็ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้จนไม่ปรากฏว่าถูกขั้นภาษีอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ จึงอาจต้องใช้นโยบายเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เมื่อประสบความสำเร็จในการกระชับความร่วมมือก็สามารถเปิดเจรจาต่อไป เพราะขณะนี้มีความแปรปรวนมากในสหรัฐจากการปรับระบบและนโยบาย จึงเกิดความสับสน การเจรจาในช่วงนี้อาจไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง และอาจมีความสุ่มเสี่ยงสูงขึ้น ความจริงต้องทำก่อนหน้านี้แล้ว โดยอาศัยความสัมพันธ์พิเศษ แต่เราก็ไม่สามารถทำได้
”ถ้าไปเจรจาควรเสนอความร่วมมือเช่นการซ่อมบำรุงเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินหรือเรือรบของสหรัฐที่จอดอยู่สิงคโปร์และมีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งรมว.กลาโหมของสหรัฐต้องการปราบปรามการทุจริตเหล่านี้ มีคดีความที่เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์และบางบริษัทที่อยู่ในไทยเรื่องความรั่วไหล เราสามารถอาสาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ รวมทั้งการขยายความร่วมมือทางการทหารให้เข้มแข็งควบคู่กับความร่วมมือทางทหารกับจีนไปด้วยทั้งเรื่องทางทะเล และเรือดำน้ำ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งมีส่วนป้องกันปัญหาภัยคุกคามต่าง ๆ โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับจีน ซึ่งความจริงเรากับสหรัฐมีข้อตกลงเดิมอยู่แล้วแต่เราไม่ค่อยทำ ทำให้ถูกด้อยค่าเขามองว่าเราไม่มีประโยชน์กับเขา รัฐบาลไทยต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่าอาจไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ เพราะเรามีบัญชีสินค้ามากกว่า 20 รายการที่เข้าข่ายอาจถูกขึ้นภาษี เราอาจเจรจาได้บางส่วน เพราะเราไม่ได้เข้มแข็งถึงขั้นที่สหรัฐอยากจะต่างตอบแทนเรา ถ้าจะยกระดับให้ดีขึ้นก็ต้องร่วมมือกับสหรัฐมากขึ้น ก็จะช่วยให้เราสร้างสมดุลใหม่ใช้สถานภาพนี้เจรจาลดความสูญเสียและแปรปรวนทางด้านการค้า” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว
ทั้งนี้มองว่า นโยบายเขย่าและบีบของ ”ทรัมป์“ ได้ผลในการทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องไปเจรจาต่อรอง ทำให้สหรัฐได้ประโยชน์มากขึ้น ในช่วง 100 วันแรกของ “ทรัมป์“ จะแปรปรวนที่สุด แต่สำหรับ “ทรัมป์” ถือว่าได้ผลดี เป็นไปตามที่หาเสียง แต่จะทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนี้ทั้งหมด เพราะยังมีปัจจัยเรื่องสถานการณ์สงคราม เช่น ยูเครน รัสเซีย ถ้าสงครามชะลอกตัวเข้าสู่การเจรจา การกักตุนทองก็จะลดลง ค่าเงินสหรัฐก็จะดีขึ้น ทำให้คุมเงินเฟ้อได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องดูแนวโน้มว่าจะดีขึ้นหรือไม่ สถานการณ์ต่อจากนี้ยังเชื่อว่าจะมีความผันผวนและแปรปรวนต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐ ความแปรปรวนที่ต้องจับตาคือความพยายามที่จะดำรงตำแหน่งปธน.เป็นสมัยที่สาม ซึ่งปัจจุบันทำไม่ได้ต้องแก้ไข รธน. แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องใช้เสียงสองในสามของวุฒิสภา เรื่องเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศแน่